ผถห.HOTPOT ไฟเขียวเพิ่มทุน พร้อมรีแบรนด์ดิ้งใหม่-ขยายแบรนด์ใหม่เจาะกลุ่มพรีเมียม,มองหาซื้อกิจการเพิ่ม

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday April 24, 2018 12:49 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอภิชัย เตชะอุบล ประธานกรรมการ บมจ. ฮอท พอท (HOTPOT) เปิดเผยว่า ในที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2561 มีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียน 73.08 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 121.80 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ 194.88 ล้าน โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ 292,320,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท จัดสรรไม่เกิน 243,600,000 หุ้น เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (Rights Offering:RO) อัตราส่วน 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ราคาเสนอขายหุ้นละ 1.30 บาท และอีก 48,720,000 หุ้นจะเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement:PP)

บริษัทกำหนดวันขึ้นเครื่องหมาย (XR) เพื่อกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิจองซื้อจองหุ้นเพิ่มทุนในวันที่ 17 พ.ค.61 และกำหนดวันจองซื้อเพื่อชำระค่าหุ้นในวันที่ 18-22 มิ.ย.61

สำหรับเงินที่คาดว่าจะได้รับจากการเพิ่มทุน RO ราว 317 ล้านบาท จะทำให้มีส่วนของทุนเพิ่มขึ้นเป็น 350 ล้านบาท จากเดิม 33.38 ล้านบาท สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดจาก 15 เท่า เหลือเพียง 1.4 เท่า และหากบริษัทได้รับเงินจากขายหุ้น PP อีก 63 ล้านบาท จะทำให้มีส่วนของทุนเพิ่มขึ้นเป็น 413 ล้านบาท และจะทำให้ D/E ลงเหลือเพียง 1.2 เท่า

ดังนั้น การเพิ่มทุนในครั้งนี้จะทำให้บริษัทฯ มีฐานทุนและฐานะทางการเงินที่เข้มแข็งขึ้น โดยเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนครั้งนี้จะนำไปใช้เป็นทุนหมุนเวียนสำหรับขยายธุรกิจ และเทคโอเวอร์ร้านอาหารแบรนด์ใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา เพื่อสร้างรายได้และกำไรให้บริษัทเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งต่อไปในอนาคต

นอกจากนี้ ที่ประชุมผู้ถือหุ้นยังมีมติอนุมัติการเปลี่ยนแปลงชื่อบริษัทและชื่อย่อหลักทรัพย์ จากชื่อ บริษัท ฮอท พอท จำกัด (มหาชน) และมีชื่อภาษาอังกฤษว่า "HOT POT PUBLIC COMPANY LIMITED" เปลี่ยนเป็น บริษัท เจซีเค ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด (มหาชน) และมีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า "JCK HOSPITALITY PUBLIC COMPANY LIMITED" และ เปลี่ยนชื่อย่อ จาก HOTPOT เป็น JCKH

วัตถุประสงค์เนื่องจากบริษัทได้ขยายแบรนด์แตกต่างกันออกไปเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ปัจจุบันดำเนินกิจการร้านอาหารภายใต้แบรนด์ต่างๆ อันได้แก่ ฮอท พอท อินเตอร์ บุฟเฟ่ต์, ฮอท พอท สุกี้ชาบู, ไดโดมอน, ซิกเนเจอร์, ทูมาโท้อิตาเลียน คิทเช่น และซุปเปอร์ พอท

อีกทั้งในปีนี้จะปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจใหม่โดยมีแผนจะเข้าซื้อกิจการร้านอาหารเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มความหลากหลายของประเภทอาหารและมีแบรนด์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น และในปัจจุบันมีหลายแบรนด์เชิญเข้าไปหารือให้เข้าร่วมทุนและเป็นพันธมิตร คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในเร็วๆ นี้

"การเปลี่ยนชื่อใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยจะครอบคลุมทั้งในส่วนของอาหาร เครื่องดื่มและการบริการ เพราะได้มีการปรับกลยุทธ์ดำเนินธุรกิจใหม่ให้มีร้านค้าภายใต้การบริหารหลากหลายแบรนด์ และมีอาหารหลากหลายประเภทมากขึ้น โดยบริษัทฯมีเป้าหมายในการพัฒนาร้านอาหารรูปแบบใหม่ โดยไม่จำกัดเฉพาะอาหารประเภทสุกี้ชาบู เพื่อตอบสนองได้ทันกับความต้องการของลูกค้าในปัจจุบัน ซึ่งจะเน้นในเรื่องของคุณภาพอาหาร และการบริการสูงขึ้น"

ทั้งนี้ จากการปิดสาขาฮอทพอทที่อยู่ในทำเลไม่เหมาะสม และเป็นสาขาที่ไม่ทำกำไร ทำให้ส่งผลกระทบต่องบการเงินในปีที่ผ่านมาประสบปัญหาขาดทุน เนื่องจากมีการตัดจำหน่าย (Write-off) ทรัพย์สินออกไป อย่างไรก็ตาม ในปีนี้มั่นใจว่าธุรกิจอาหารของบริษัทฯจะกลับมาโดดเด่นอีกครั้ง ซึ่งในส่วนของ ฮอทพอท ได้มีการรีแบรนด์ดิ้งใหม่ และปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจโดยหันมาเจาะฐานลูกค้าพรีเมี่ยมมากขึ้น นอกจากนี้จะมีการเพิ่มแบรนด์ใหม่ๆ ให้มากขึ้นด้วย ทำให้มั่นใจว่าจะช่วยผลักดันรายได้ของบริษัทฯในปีนี้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

นายอภิชัย กล่าวว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจปัจจุบันมั่นใจว่าในอนาคตจะมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากปีที่ผ่านมาได้มีการปิดสาขาของร้านฮอท พอท สุกี้ชาบู ประมาณ 40 สาขา ทำให้ปัจจุบัน ฮอท พอท มีสาขาเหลือจำนวน 104 แห่ง เพื่อลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจ ควบคู่ไปกับการบริหารต้นทุนการผลิตอาหาร (food cost)


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ