นางสาวประภา ปูรณโชติ กรรมการผู้จัดการ บล.เอ็มเอฟซี (MFC) กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเสนอขายครั้งแรกของสองกองทุนใหม่ เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้สนใจลงทุนเพื่อใช้ในการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน และสามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดา ได้แก่ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี เซ็ท 50 เพื่อการเลี้ยงชีพ (M-S50 RMF) และกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี เซ็ท 50 หุ้นระยะยาว (M-S50 LTF) เสนอขายครั้งแรกวันนี้ถึง 30 เม.ย.61
ทั้งสองกองทุนมีนโยบายการลงทุนในหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ใกล้เคียงดัชนี SET50 โดยเฉลี่ยในรอบบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน สำหรับส่วนที่เหลือจะลงทุนในตราสารหนี้ เงินฝากธนาคาร หลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่น หรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นที่คณะกรรมการก.ล.ต. หรือสำนักงานประกาศกำหนด ทั้งนี้กองทุนเปิด M-S50 LTF มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลอย่างน้อยปีละครั้ง นอกจากนี้ทั้งสองกองทุนยังเปิดให้บริการซื้อหน่วยลงทุนแบบหักบัญชีสม่ำเสมอ เพื่อลดความผันผวนและช่วยลดต้นทุนต่อหน่วยได้อีกด้วย
กองทุนเปิด M-S50 RMF และกองทุนเปิด M-S50 LTF เหมาะสำหรับผู้ที่สามารถรับความผันผวนของราคาหุ้นที่กองทุนไปลงทุนซึ่งอาจปรับตัวสูงขึ้นหรือลดลงต่ำกว่ามูลค่าที่ลงทุนและทำให้ขาดทุนได้ สามารถลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาวโดยคาดหวังผลตอบแทนในระยะยาวที่ดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้
สำหรับผู้ลงทุนใน RMF ต้องถือหน่วยลงทุนจนครบอายุ 55 ปี และถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี สำหรับผู้ลงทุนใน LTF ต้องลงทุนไม่น้อยกว่า 7 ปีปฏิทินและเมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่กรมสรรพากรให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ลงทุนใน LTF แล้ว ผู้ที่ลงทุนตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.63 จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีต่อไป
นางสาวประภา กล่าวว่า จากความเห็นของสายบริหารกองทุนของเอ็มเอฟซีมองสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยปัจจุบันและแนวโน้ม โดยคาดการณ์ว่า ในระยะกลางและระยะยาวตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาวะเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นจากภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว และการลงทุนภาครัฐในส่วนของโครงการที่จะเปิดประมูล รวมถึงการลงทุนภาคเอกชนเริ่มมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับปัจจัยทางด้านการเมืองที่มีแนวโน้มชัดเจนมากขึ้น จึงส่งผลให้การลงทุนในหุ้นกลุ่ม SET50 มีความน่าสนใจ
แต่ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงที่ยังต้องติดตามได้แก่ ผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงประเด็นเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯที่อาจส่งผลให้เกิดความผันผวนของตลาดหุ้นในระยะสั้น