นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทาทา สตีล (ประเทศไทย) (TSTH) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าปริมาณการขายเหล็กรวมงวดปี 61/62 (เม.ย.61-มี.ค.62) ที่ 1.32-1.35 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 8-10% จากปริมาณการขายรวมในงวดปี 60/61 (เม.ย.60-มี.ค.61) ที่ 1.21 ล้านตัน จากการผลักดันการขายเหล็กลวด และการส่งออกมากขึ้น เพื่อชดเชยการชะลอตัวของภาคก่อสร้างในประเทศ โดยบริษัทตั้งเป้าการส่งออกในปี 61/62 ไว้ที่ 1.5 แสนตัน จากปีก่อนอยู่ที่ 1.13 แสนตัน ขณะที่ไตรมาส 1 งวดปี 61/62 คาดว่าจะอยู่ที่ 5 หมื่นตัน
ขณะที่บริษัทจะดำเนินการขยายเครือข่ายค้าปลีกให้มากขึ้น รวมถึงร่วมกับนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อเสนอขายผลิตภัณฑ์เหล็กที่มีมูลค่าเพิ่มโดยตรง และการลดการสูญเสียพลังงานในเตาเผาและสายการผลิต เพื่อควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่ลดลง
ทั้งนี้ ประเมินภาพรวมธุรกิจตามการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจ การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยจะยังคงแข็งแกร่ง และการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปี 61 จะขยายตัวได้ 4% และโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) คาดว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตและการลงทุนของประเทศ ประกอบกับภาครัฐได้พยายามเร่งรัดการเสริมสร้างความเข้มแข็งของโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภคต่าง ๆ คาดว่าจะส่งผลให้ความต้องการของเหล็กก่อสร้างดีขึ้นในครึ่งหลังปีนี้ หรือตั้งแต่เดือนก.ค.-ส.ค.61
อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดการณ์ปริมาณความต้องการใช้เหล็กเส้นก่อสร้างในปีนี้จะเพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อนอยู่ที่ 5.9-6 ล้านตัน ขณะที่คาดปริมาณความต้องการใช้เหล็กโดยรวมในปีนี้จะอยู่ที่ 17.5 ล้านตัน จากปีก่อนอยู่ที่ 16.5 ล้านตัน
ส่วนปัจจัยจากต่างประเทศจากการที่สหรัฐฯขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมนั้น ขณะนี้ยังไม่มีผลกระทบโดยตรงในภูมิภาค แต่ยังคงมีความเสี่ยงที่ปริมาณเหล็กจะถูกถ่ายโอนไปยังภูมิภาคอาเซียน จากการปิดกั้นการนำเข้าของสหรัฐฯ ก็อาจจะส่งผลต่อราคาเศษเหล็กปรับตัวสูงขึ้น จากราคาในปัจจุบันอยู่ที่ 350 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน จากความต้องการจากสหรัฐฯ ตุรกี และอนุทวีปอินเดีย ที่เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันราคาวัตถุดิบอื่น ๆ เช่น วัสดุทนไฟ, ferro-alloys เป็นต้น มีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับสูงเช่นกัน เนื่องจากสินค้าในตลาดไม่เพียงพอ ขณะที่คาดว่าราคาเหล็กสำเร็จรูปจะอยู่ในระดับเดียวกันกับในปัจจุบัน
"จากการปิดกั้นการนำเข้าเหล็กและอลูนิเนียมของสหรัฐฯ ตามมาตรา 232 เราไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากไม่มีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ แต่อาจจะได้รับผลกระทบในแง่ของ Indirect ทางอ้อม ซึ่งอาจจะส่งผลต่อต้นทุนของบริษัท"นายราจีฟ กล่าว
นายราจีฟ กล่าวอีกว่า สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัท ในไตรมาส 4 งวดปี 60/61 มีปริมาณการขายที่ 3.16 แสนตัน ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ทำได้ 3.44 แสนตัน เป็นผลมาจากความต้องการใช้เหล็กเส้นก่อสร้าง ของอุตสาหกรรมก่อสร้างชะลอตัวลง แต่เติบโตดีกว่าไตรมาสก่อนหน้า ที่มีปริมาณการขายอยู่ที่ 3.02 แสนตัน จากการผลักดันการขายเหล็กลวดในประเทศ และการส่งออกที่เพิ่มมากขึ้น โดยมียอดขายสุทธิในไตรมาส 4 งวดปี 60/61 อยู่ที่ 6.11 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีนิติบุคคล ค่าเสื่อม และค่าจัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 270 ล้านบาท ลดลง 43% จากไตรมาสที่ผ่านมา และลดลง 34% จากงวดปีก่อน จากการตั้งสำรองเผื่อด้อยค่าของสินทรัพย์เตาถลุงเหล็กขนาดเล็ก (MBF)
ด้านแผนการลงทุนในงวดปี 61/62 บริษัทมีอัตราการใช้กำลังการผลิตกว่า 75% และยังคงมีกำลังการผลิตคงเหลือ จึงยังไม่มีความจำเป็นในการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตเพิ่ม อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตในส่วนของผลิตภัณฑ์เหล็กตัดและดัด รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 1.3 หมื่นตันต่อเดือน จากเดิม 1 หมื่นตันต่อเดือน