นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บมจ.ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ (LALIN) เปิดเผยว่า บริษัทสามารถทำยอดขายในไตรมาส 1/61 ได้ 1.4-1.5 พันล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยมีการเปิดโครงการแนวราบใหม่ 1 โครงการ มูลค่า 450 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ประกอบกับในช่วงเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา มีการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ซึ่งบริษัทก็ได้ร่วมไปออกบูธด้วย และมียอดขายเข้ามาเสริม
ทั้งนี้ บริษัทยังมั่นใจยอดขายในปีนี้ทำได้ตามเป้าหมายที่ 4.5 พันล้านบาท และในช่วงไตรมาส 2/61 บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่ซึ่งเป็นโครงการแนวราบอีก 1-2 โครงการ มูลค่ารวม 1.2 พันล้านบาท โดยส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในทำเลกรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นหลัก ซึ่งตามแผนในปีนี้ที่บริษัทตั้งเป้าหมายเปิดโครงการใหม่รวม 8-10 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4.5 พันล้านบาท จะเป็นโครงการที่อยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑลในสัดส่วน 70-80% และที่เหลือจะเป็นโครงการในต่างจังหวัด
ส่วนกลยุทธ์ทางการตลาดในปีนี้บริษัทปรับกลยุทธ์การดำเนินงานในเชิงรุก เพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ไว้วางใจบริษัทมาเป็นระยะเวลานานถึง 30 ปี และบริษัทยังคงมุ่งสู่ความเป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะโครงการแนวราบที่มีความชำนาญ ทั้งแนวความคิด การวางคอนเซ็ปต์ ความคุ้มค่าในการอยู่อาศัย และการเลือกทำเลศักยภาพ ตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์และราคา และเน้นการทำ Digital Marketing และ CRM Strategy ขณะที่ยังคงมีการใช้โฆษณาและประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อในรูปแบบดั้งเดิมควบคู่กันไปด้วย
ด้านภาพรวมของภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา มีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากที่เศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้น ทำให้ประชาชนมีความมั่นใจเพิ่มขึ้น และกำลังซื้อของประชาชนทยอยเพิ่มขึ้นตามลำดับ อีกทั้ง หนี้สินครัวเรือนเริ่มเห็นสัญญาณการปรับตัวลดลง ซึ่งส่งผลบวกต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ไนช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา พร้อมมองภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปีนี้จะเติบโตได้ 5-8% ซึ่งโดยปกติแล้วภาคอสังหาริมทรัพย์จะเติบโต 1-1.5 เท่าของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ซึ่ง GDP ในปีนี้ตามที่หน่วยงานภาครัฐได้คาดการณ์ไว้จะเติบโตอยู่ที่ 4-4.5%
ส่วนแนวโน้มรายได้ในปีนี้ยังมั่นใจว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 4 พันล้านบาท โดยรายได้ของบริษัทเกือบทั้งหมดจะมาจากการโอนโครงการแนวราบเป็นหลัก โดยที่มีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ทั้งหมดในปัจจุบันอยู่ที่ 1 พันล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการแนวราบทั้งหมดจะทยอยโอนเข้ามาในปีนี้ ส่วน Backlog ของโครงการคอนโดมิเนียมในปัจจุบันบริษัทไม่มีแล้ว
นอกจากนี้ บริษัทยังมองเห็นศักยภาพของทำเลกรุงเทพฯตอนเหนือ ย่านถนนรังสิต-ลำลูกกา ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ที่มีความเจริญอย่างต่อเนื่อง จากการขยายตัวเมืองพหลโยธิน ปทุมธานี รังสิต และถนนลำลูกกา จนกลายเป็นที่พักอาศัยแห่งใหม่ ซึ่งมีปัจจัยหนุนมาจากศักยภาพของพื้นที่ ที่มีรถไฟฟ้าสายสีเขียว (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) และสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต-ม.ธรรมศาสตร์) ที่มีกำหนดสร้างเสร็จในปี 63
อีกทั้งทำเลดังกล่าวยังมีทางด่วนหลายเส้นทาง อาทิ ถนนวงแหวนตะวันออก ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ และทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ จึงเป็นผลทำให้โซนกรุงเทพฯ ตอนเหนือ สามารถเชื่อมต่อไปยังพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพฯ ได้อย่างสะดวกรวดเร็วไม่แพ้ทำเลอื่น ขณะที่สิ่งอำนวยความสะดวก ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Future Park , Big C , Tesco Lotus , สนามบินดอนเมือง , โรงเรียน และโรงพยาบาลต่าง ๆ
โดยความเจริญที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องในย่านรังสิต-ลำลูกกา ส่งผลให้มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในทำเลดังกล่าวเพิ่มขึ้นมาก และจะมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทได้เข้ามาพัฒนาในทำเลย่านรังสิต-ลำลูกกา มาแล้วเป็นระยะเวลา 10 ปี ซึ่งเห็นการพัฒนาของทำเลดังกล่าวที่มีอยู่ตลอดเวลา ส่วนในด้านของจำนวนซัพพลายโครงการแนวราบที่อยู่ในทำเลรังสิต-ลำลูกกานั้น ปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด 7,000-8,000 ยูนิต ซึ่งมีบางยูนิตที่ยังไม่สร้างแต่มีการขายไปแล้ว ซึ่งคิดเป็นยูนิตที่สร้างแล้วเสร็จจะมีอยู่เพียง 1,000-1,200 ยูนิต โดยที่อัตราการดูดซับ (Take up rate) ในพื้นที่ดังกล่าวอยู่ที่ 50% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด 7,000-8,000 ยูนิต ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการดูดซับจนหมดราว 1-1.5 ปี
ด้านราคาขายโครงการมีการปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเฉลี่ย 5-10% ต่อปี ขณะที่ราคาต้นทุนที่ดินมีอัตราปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าการปรับเพิ่มของราคาขายโครงการ โดยราคาที่ดินในทำเลรังสิต-ลำลูกกา ปรับเพิ่มขึ้น 10-20% ต่อปี หรือปัจจุบันราคาขายที่ดินอยู่ที่ 4-5 ล้านบาท/ไร่ เนื่องจากความเจริญที่เพิ่มมากขึ้น การลงทุนโครงการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าที่เข้าใกล้ในพื้นที่ดังกล่าว ประกอบกับมีผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆเ ข้ามาหาซื้อที่ดินและพัฒนาโครงการเพิ่มมากขึ้น
สำหรับโครงการ ‘ลลิล ทาวน์ (LALIN Town) ไลโอ (LIO) ลำลูกกา คลอง 4–5 โครงการมิกซ์ยูสที่ผสมระหว่างบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ และทาวน์โฮมแนวคิดใหม่ ดีไซน์ใหม่สไตล์โมเดิร์น ขนาด 2 ชั้น ถือเป็นโครงการที่ออกแบบมาเพื่อผู้อยู่ในย่านรังสิต ลำลูกกาโดยเฉพาะ โดยโครงการมีจุดเด่น ที่ทำเล ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางถนนเลียบคลอง 5 ใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีคลอง 5 (ส่วนต่อขยาย)
ลลิล ทาวน์ ไลโอ ลำลูกกา คลอง 4 - 5 มีจำนวน 417 ยูนิต บนพื้นที่โครงการ 44 ไร่ เป็นทาวน์โฮมแนวคิดใหม่ และบ้านเดี่ยว 2 ชั้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบ้านหลังแรกโดยตัวบ้านมีพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ตั้งแต่ 105 ตร.ม. – 155 ตร.ม. ขนาด 3 – 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ และที่จอดรถ 1 – 3 คัน โดยบริษัทได้เปิดขายเฟสแรก จำนวน 60 ยูนิตไปแล้ว มูลค่า 200 ล้านบาท ซึ่งเป็นทาวน์โฮมสัดส่วน 70% และอีก 30% เป็นบ้านเดี่ยว มีลูกค้าเข้ามาซื้อทั้งหมดแล้ว