นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บมจ.เอไอ เอนเนอร์จี (AIE) เปิดเผยว่า AIE และบมจ.เอเชียน อินซูเลเตอร์ (AI) ได้ยื่นงบการเงินของปี 57-58 ฉบับที่แก้ไขแล้วให้กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ผู้ตรวจบัญชีได้เปลี่ยนเป็นถูกจำกัดโดยสถานการณ์ จากเดิมคือถูกจำกัดขอบเขตโดยผู้บริหาร ซึ่งยังต้องรอผลจาก ก.ล.ต.ว่าจะมีข้อสงสัยเพิ่มเติมหรือไม่ หากว่าไม่มีเพิ่มเติมทางบริษัทก็จะยื่นขอกับทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อที่จะดำเนินการกลับเข้ามาซื้อขายต่อไป
"เราใช้ระยะเวลามาพอสมควรกว่าที่จะทำทุกอย่างให้เข้าที่ ซึ่งตอนนี้เราก็มองว่าไม่น่าจะมีอะไรติดขัดแล้ว เราก็เชื่อว่าคงจะกลับมาซื้อขายได้ในเวลาอีกไม่นาน แต่อย่างไรก็ตามก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ ก.ล.ต. และ ตลท. ด้วย"นายสมศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ AI แจ้งกำไรปี 57 เท่ากับ 288.19 ล้านบาท และปี 58 มีกำไร 177.86 ล้านบาท
ส่วน AIE แจ้งกำไรปี 57 เท่ากับ 90.67 ล้านบาท และปี 58 ขาดทุน 82.53 ล้านบาท
ด้านนายธนิตย์ ธารีรัตนาวิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและเลขานุการ AI เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมสำหรับการนำหุ้นกลับเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อีกครั้ง หาก ก.ล.ต.ไม่ติดใจหรือสั่งให้แก้ไขงบการเงิน เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทยังมีผลประกอบการที่ดี และมีการปันผลให้กับผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง
แนวโน้มผลงานในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% จากปีก่อนที่มีรายได้ 3,458.23 ล้านบาท เนื่องจากขณะนี้มีคำสั่งซื้อลูกถ้วยไฟฟ้าเข้ามาจำนวนมาก เป็นการเติบโตไปตามโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ โดยเฉพาะงานนำสายไฟฟ้าลงดิน ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีคำสั่งซื้อล่วงหน้า (Backlog) แล้วกว่า 500 ล้านบาทที่จะทยอยรับรู้เข้ามาเป็นรายได้ไปถึงเดือน มี.ค.62
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างรอความชัดเจนของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่หากเกิดขึ้นจะต้องมีการลงทุนด้านต่าง ๆ อีกมาก รวมไปถึงระบบไฟฟ้า ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ความต้องการใช้ลูกถ้วยไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทได้เตรียมงบลงทุนไว้หลัก 10 ล้านบาท เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีในการเผาลูกถ้วยไฟฟ้าให้สามารถลดเวลาการเผาลงครึ่งหนึ่งของเวลาเดิม ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตได้อีกราว 10% จากปัจจุบันมีกำลังการผลิต 7,500 ตัน/ปี และใช้กำลังการผลิตเต็ม 100% ซึ่งหากมีความชัดเจนของโครงการ EEC บริษัทก็จะพิจารณาลงทุนขยายการผลิตเพิ่มเติมขึ้นด้วย
ในแง่ของกำไรในปีนี้ คาดว่าการทำกำไรของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้น จากปีก่อนที่มีอัตรากำไรสุทธิ 7.39% เนื่องจากในปีที่ผ่านมาได้เปลี่ยนเชื้อเพลิงในการเผาลูกถ้วยไฟฟ้าเป็นก๊าซธรรมชาติ จากเดิมที่ใช้ LPG ทำให้ต้นทุนลดลงราว 35% รวมไปถึงการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปกำลังการผลิต 850 กิโลวัตต์ ซึ่งช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าได้ราว 25%
นายธนิตย์ กล่าวเพิ่มเติมถึงบริษัทลูกของ AI คือ AIE ว่า ในปีนี้ผลประกอบการมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากปีก่อนที่มีผลขาดทุน 72.28 ล้านบาท เนื่องจากคาดว่าภาครัฐจะมีแนวทางการแก้ไขปัญหาสต็อกน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ด้วยการปรับเพิ่มสัดส่วนผสมภาคบังคับของไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซล เป็น 10% หรือ B10 จากปัจจุบันที่มีการใช้ B7 รวมไปถึงโครงการจำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซล B20 ให้กับรถเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มรถบรรทุกขนส่งสินค้า ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทได้
โดยในปีนี้บริษัทเชื่อว่าจะสามารถใช้กำลังการผลิตให้อยู่ในจุดที่เหมาะสมได้ หรือที่ระดับ 4 แสนลิตรต่อวัน จากปัจจุบันใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 2 แสนลิตรต่อวัน ซึ่งกำลังการผลิตรวมของโรงงานอยู่ที่ 7 แสนลิตรต่อวัน
นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส 4/61 บริษัทจะมีการจำหน่ายกลีเซอรีนบริสุทธิ์เพิ่มเติม หลังจากบริษัทได้ใช้งบลงทุนราว 300 ล้านบาทลงทุนโรงกลั่นกลีเซอรีนบริสุทธิ์คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน ก.ย.61 ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้มาร์จิ้นที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากต้นทุนการผลิตไม่สูงนัก ซึ่งจะเข้ามาช่วยหนุนผลประกอบการของบริษัทให้ดีขึ้นด้วย