บมจ. บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส (BGC) ยื่น Filing version แรก เมื่อวันที่ 30 เม.ย.2561 เนื่องจากบริษัทฯจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 194,444,000 หุ้น และมีความประสงค์จะขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมี บล.กสิกรไทย เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
วัตถุประสงค์ของการใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อการขยายโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วแห่งใหม่ในจังหวัดราชบุรี รวมทั้งเพื่อการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพภายในกลุ่มบริษัทฯ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
BGC ประกอบธุรกิจจัดจำหน่าย ส่งออก และนำเข้าบรรจุภัณฑ์แก้ว รวมถึงการลงทุนในธุรกิจผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วผ่านบริษัทย่อยของบริษัทฯ ณ ปัจจุบัน กลุ่มบริษัทฯ มีกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วมากที่สุดในประเทศไทย (อ้างอิงจากรายงานของ GlobalData Plc ลงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2561) โดยมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 3,095 ตันต่อวัน (ไม่รวมกำลังการผลิตของ RGI จำนวน 240 ตันต่อวัน ที่มีการปิดเตาหลอมแก้วเมื่อเดือนธันวาคม 2560)
ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทฯ ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วที่หลากหลาย เช่น ขวดเบียร์ ขวดเครื่องดื่ม ขวดซอส ขวดยาฆ่าแมลง ขวดยา และขวดใส่อาหารขนาดเล็ก เป็นต้น รวมทั้งบริษัทฯ ยังมีการนำเข้าบรรจุภัณฑ์แก้วเพื่อขายในประเทศ เช่น สินค้าประเภทขวดยา ขวดยาฆ่าแมลง ขวดไวน์ และขวดเบียร์ เป็นต้น ซึ่งบริษัทฯ นำเข้าขวดแก้วบางประเภทมาขายให้แก่ลูกค้าสำหรับกรณีที่บริษัทฯ ไม่สามารถผลิตได้ และ/หรือ มีกำลังการผลิตไม่เพียงพอ เพื่อตอบสนองความต้องการบรรจุภัณฑ์ และความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า โดยบริษัทฯ มีฐานลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ผลการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2560 มีรายได้จากการขาย 11,164.2 ล้านบาท รายได้รวม 11,221.8 ล้านบาท ต้นทุนขาย 9,681.6 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายรวม 1,087.6 ล้านบาท กำไรสุทธิ 251.9 ล้านบาท สินทรัพย์รวม 12,970.7 ล้านบาท หนี้สินรวม 9,936.4 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 3,034.3 ล้านบาท
โครงการในอนาคต กลุ่มบริษัทฯมีแผนการลงทุนสร้างโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วแห่งใหม่เพิ่มอีกหนึ่งแห่งในจังหวัดราชบุรี ภายใต้การดำเนินงานของ RBI โดยใช้เงินลงทุนจำนวนประมาณ 2,500 ล้านบาท ซึ่งมีแผนจะดำเนินการก่อสร้างเตาหลอมแก้วที่ 1 แล้วเสร็จและเริ่มดำเนินงการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2561 และภายหลังโครงการขยายกำลังการผลิตและสร้างโรงงานใหม่ดังกล่าวแล้วเสร็จ กลุ่มบริษัทฯจะมีโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วจำนวน 5 โรงงาน และมีเตาหลอมแก้วทั้งสิ้น 11 เตา และมีกำลังการผลิตรวมเท่ากับ 3,495 ตันต่อวัน โดยกลุ่มบริษัทฯเชื่อว่าการเพิ่มกำลังการผลิตดังกล่าวจะทำให้กลุ่มบริษัทฯสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในประเทศและต่างประเทศได้เพิ่มขึ้น
ปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 3,472,220,000 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 694,444,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5 บาท และมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 2,500,000,000 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 500,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5 บาท ภายหลังจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรกในครั้งนี้แล้ว บริษัทฯ จะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วจำนวนทั้งสิ้น 3,472,220,000 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 694,444,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5 บาท
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ณ วันที่ 5 เม.ย.2561 คือ บมจ. บางกอกกล๊าส ถือหุ้น 499,999,920 หุ้น คิดเป็น 100% หลังเสนอขายหุ้นในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 72%
บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคล การจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมายและสำรองทั่วไป