บมจ. บีบีจีไอ ยื่น Filing version แรกเมื่อวันที่ 30 เม.ย.2561 เนื่องจากบริษัทฯจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 216.60 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 43,320,000 หุ้น ให้แก่ประชาชนทั่วไปเฉพาะกลุ่ม ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิมของบมจ. บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) และบมจ. น้ำตาลขอนแก่น (KSL) เฉพาะกลุ่มที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้นเพื่อรักษาสิทธิ และหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 3,000,000 หุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยของบริษัทฯ อีกทั้งหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 170,280,000 หุ้น และหุ้นที่เหลือจากการจัดสรร (ถ้ามี) เพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลทั่วไป นักลงทุนสถาบัน และผู้มีอุปการคุณของบริษัทฯ โดยมีบล.กสิกรไทย, บล.บัวหลวง และบล.ฟินันซ่า เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และเป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
วัตถุประสงค์การใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของเงินลงทุนสำหรับการขยายธุรกิจ การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และการลงทุนในโครงการต่าง ๆ ของบริษัทฯ และบริษัทย่อย และบริษัทร่วมในอนาคต รวมทั้งให้กู้ยืมแก่บริษัทย่อยและบริษัทร่วม และใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมให้สถาบันการเงิน รวมทั้งใช้ชำระคืนภาระหนี้อื่นที่บริษัทฯอาจมีขึ้นในอนาคต รวมไปถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ
บริษัทฯ ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) รวมถึงธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอล ไบโอดีเซล และผลิตภัณฑ์พลอยได้ รวมทั้งประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ณ ปัจจุบัน บริษัทฯ ถือหุ้นในบริษัทย่อยจำนวน 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท เคเอสแอล กรีน อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) (KGI) บริษัท บางจากไบโอเอทานอล (ฉะเชิงเทรา) จำกัด (BBE) และบริษัท บางจากไบโอฟูเอล จำกัด (BBF) โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 100.0 ร้อยละ 85.0 และร้อยละ 70.0 ของทุนชำระแล้วทั้งหมดของ KGI BBE และ BBF ตามลำดับ และบริษัทร่วม 1 บริษัท คือ บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) (UBE) โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 21.3 ของทุนชำระแล้วทั้งหมดของ UBE (ณ ปัจจุบัน UBE อยู่ระหว่างการดำเนินการตามแผน IPO ของ UBE ภายหลังการดำเนินการตามแผนดังกล่าวแล้วเสร็จ บริษัทฯ จะถือหุ้นใน UBE ร้อยละ 12.4 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของ UBE)
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 กลุ่มบริษัทฯ เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) รายใหญ่ของประเทศไทย โดยโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) ของบริษัทย่อยและบริษัทร่วมของบริษัทฯ มีกำลังการผลิตเอทานอลและไบโอดีเซลรวม 1,710,000 ลิตรต่อวัน
ผลการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2560 สินทรัพย์รวม 8,846.84 ล้านบาท หนี้สินรวม 3,934.78 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 4,912.06 ล้านบาท รายได้จากการขาย 9,812.91 ล้านบาท ต้นทุนขาย 9,199.30 ล้านบาท กำไรสำหรับปี 266.26 ล้านบาท
โครงการในอนาคต กลุ่มบริษัทฯ มีแผนที่จะขยายธุรกิจทั้งในธุรกิจผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันและการลงทุนในธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง (High Value Products (HVP)) โดยในปัจจุบันกลุ่มบริษัทฯ มีแผนที่จะลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและปริมาณการผลิตเอทานอล ทั้งที่โรงงานน้ำพองและโรงงานบ่อพลอยของ KGI รวมถึงโรงงานผลิตเอทานอลของ BBE ซึ่งอนุมัติโดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 5/2561 เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2561 ตามรายละเอียดดังนี้
โครงการขยายกำลังการผลิตโรงงานน้ำพองของ KGI แบ่งออกเป็น 2 ระยะ ตามรายละเอียดดังนี้ โครงการระยะที่ 1: KGI วางแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตเอทานอลจาก 150,000 ลิตรต่อวัน เป็น 200,000 ลิตรต่อวัน โดยการปรับปรุงระบบกลั่นให้ใช้พลังงานไอน้ำน้อยลง ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 100.00 ล้านบาท ในปี 2561 ทั้งนี้จากข้อเสนอที่ได้รับจากผู้รับเหมา กลุ่มบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถลดปริมาณการใช้ไอน้ำต่อลิตรเอทานอลที่ผลิตลงได้ร้อยละ 30.2 ปัจจุบัน KGI อยู่ระหว่างขั้นตอนการจัดจ้างผู้รับเหมาเพื่อเริ่มดำเนินการ โดยคาดว่าจะปรับปรุงระบบกลั่นและทดสอบการผลิตแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2561
โครงการระยะที่ 2: KGI วางแผนที่จะขยายกำลังการผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาลของโรงงานน้ำพองของ KGI เพิ่มอีก 200,000 ลิตรต่อวัน โดยคาดว่าต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 1,000.00 ล้านบาท ในปี 2561-2562 ปัจจุบันโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เพื่อยื่นต่อสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย KGI มีแผนที่จะเริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2561 และคาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างและทดสอบการผลิตแล้วเสร็จ รวมถึงเปิดดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในเดือนธันวาคมปี 2562
ทั้งนี้ ภายหลังการขยายกำลังการผลิตของโครงการทั้งสองระยะแล้ว โรงงานน้ำพองของ KGI จะมีกำลังการผลิตเอทานอลรวม 400,000 ลิตรต่อวัน หรือเทียบเท่า 115.5 ล้านลิตรต่อปี
โครงการขยายกำลังการผลิตโรงงานบ่อพลอยของ KGI โดยการปรับปรุงกระบวนการกลั่น และกระบวนการแยกน้ำเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตจาก 200,000 ลิตร เป็น 300,000 ลิตรต่อวัน หรือเทียบเท่า 99.00 ล้านลิตรต่อปี ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 468.00 ล้านบาท ในปี 2561 ทั้งนี้ ภายหลังจากปรับปรุงกระบวนการผลิตแล้วเสร็จ กลุ่มบริษัทฯ คาดว่าโรงงานบ่อพลอยของ KGI จะสามารถลดปริมาณการใช้ไอน้ำต่อลิตรเอทานอลที่ผลิตลงได้ร้อยละ 30.2 ปัจจุบัน KGI อยู่ระหว่างขั้นตอนการจัดจ้างผู้รับเหมาเพื่อดำเนินการดังกล่าว โดยคาดว่าจะปรับปรุงกระบวนการผลิตและทดสอบการผลิตแล้วเสร็จ รวมถึงเปิดดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในเดือนธันวาคมปี 2561
โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (Productivity Improvement) โรงงานผลิตเอทานอลของ BBE เพื่อให้สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตเป็น 49.5 ล้านลิตรต่อปี โดยการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบกลั่น ระบบหล่อเย็น รวมถึงระบบการเตรียมวัตถุดิบ ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 120.00 ล้านบาท ในปี 2561 นอกจากนี้ จากการดำเนินการดังกล่าว บริษัทฯ คาดว่าโรงงานผลิตเอทานอลของ BBE จะสามารถลดปริมาณการใช้ไอน้ำต่อลิตรเอทานอลที่ผลิตลงได้ร้อยละ 8.6 ปัจจุบัน BBE อยู่ระหว่างขั้นตอนการจัดจ้างผู้รับเหมาเพื่อดำเนินการดังกล่าว โดยคาดว่าจะปรับปรุงประสิทธิภาพและทดสอบการผลิตแล้วเสร็จ ภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2562
ณ วันที่ 30 เมษายน 2561 บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 3,615,000,000 บาท โดยแบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 723,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5.0 บาท และมีทุนชำระแล้วจำนวน 2,532,000,000 บาท โดยแบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 506,400,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5.0 บาท ภายหลังจากการเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ทั้งหมดในครั้งนี้แล้ว บริษัทฯ จะมีทุนชำระแล้วทั้งสิ้นไม่เกิน 3,615,000,000 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 723,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5.0 บาท
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ณวันที่ 30 เม.ย.2561 ประกอบด้วย BCP ถือหุ้น 303,839,994 หุ้น คิดเป็น 60% หลังเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 42%, KSL ถือหุ้น 202,559,994 หุ้น คิดเป็น 40% หลังเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 28%
บริษัทฯ มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40.0 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการ หลังจากการหักทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามข้อบังคับของบริษัทฯ และตามกฎหมายแล้ว