นายอนุสรณ์ มุทราอิศ กรรมการบริหาร บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (DELTA) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อซื้อกิจการโรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ขั้นสูงที่เป็น Power Solution และ Power Management ในยุโรป จำนวน 1 ดีล คาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงไตรมาส 2/61 ซึ่งปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างรอผู้ขายตัดสินใจอยู่ว่าจะเสนอขายให้กับบริษัทหรือไม่ หากไม่เสนอขายให้กับบริษัทดีลดังกล่าวอาจจะยกเลิกไป โดยการซื้อกิจการดังกล่าวบริษัทมีเงินทุนที่เพียงพอรองรับ ซึ่งจะใช้เงินจากกระแสเงินสดของบริษัทในการลงทุน ซึ่งมีกระแสเงินสดอยู่สูงถึง 1.7 หทมื่นล้านบาท
รวมไปถึงการลงทุนในปีนี้ที่วางงบลงทุนไว้ราว 1 พันล้านบาท เพื่อใช้ในการก่อสร้างโรงงานผลิตในอินเดีย ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และการปรับปรุงเครื่องจักรในโรงงานที่มีอยู่ให้เป็นแบบอัตโนมัติรองรับเทรนด์ 4.0 ซึ่งทำให้สายการผลิตของบริษัทมีความทันสมัยมากขึ้น
นายอนุสรณ์ คาดว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/61 ของบริษัททั้งรายได้และกำไรจะเติบโตสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมากกว่าไตรมาส 1/61 ที่มีรายได้เติบโต 3.3% และกำไรสุทธิเติบโต 8.4% ซึ่งบริษัทได้เตรียมแผนรองรับกับปัญหาที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่า ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น และมีผลต่อการผลิตสินค้าของซัพลายเอร์ที่เป็นผู้ผลิตวัตถุดิบให้บริษัทได้หยุดชะงัก ส่งผลให้วัตถุดิบขาดตลาด และทำให้ต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำไรในไตรมาส 1/61 ที่ผ่านมาได้ปรับตัวลดลง
โดยในไตรมาส 2/61 บริษัทและซัพพลายเออร์เริ่มที่จะปรับตัวกับสถานการณ์เงินบาทแข็งค่าได้แล้ว และในสัปดาห์หน้าบริษัทเตรียมที่จะประชุมกับโรงงานผลิตของบริษัททั้ง 8 แห่ง เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลดำเนินงานของบริษัท ซึ่งอาจจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายบางรายการ เพื่อชดเชยกับผลกระทบของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น หรือการที่บริษัทจะออกเงินให้กับซัพพลายเออร์ไปผลิตสินค้าที่เป็นวัตถุดิบของบริษัท เพื่อทำให้มีอำนาจในการต่อรองราคาได้ถูกลง ประกอบกับบริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาการทำประกันความเสี่ยงของค่าเงิน ซึ่งจะต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบในภาวะที่ค่าเงินมีความผันผวน
อย่างไรก็ตามบริษัทยังมั่นใจว่าภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 61 ยังคงเป็นไปตามเป้าหมายทั้งรายได้และกำไรสุทธิที่จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% และจะรักษาอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 10% แม้ว่าสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าจะกดดันต่อภาพรวมของผลการดำเนินงานอยู่ก็ตาม แต่จะหันมาใช้วิธีการลดค่าใช้จ่ายลง เพื่อทำให้ผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทคาดไว้
"ผลการดำเนินงานของบริษัทในรูปเงินบาทยอมรับว่ามีความกดดันจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ไม่ใช่แค่เฉพาะกับเราเท่านั้น แต่ซัพพลายเออร์ก็กระทบไปด้วย ซึ่งทำให้ซัพพลายเออร์บางรายทำการผลิตไม่ไหว ส่งผลให้วัตถุดิบบางอย่างขาดตลาดไป หรือราคาสูงขึ้น ตรงนี้เป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นในไตรมาสแรกซึ่งทุดคนไม่ได้ตั้งตัว แต่พอมาไตรมาส 2 ทุกคนก็เริ่มปรับตัวได้ และเราก็มีการช่วยเหลือซัพพลายเออร์ เพื่อทำให้เขาสามารถผลิตวัตถุดิบให้เราได้ และเราก็ซื้อได้ราคาที่ถูกลง แต่หากเป็นผลการดำเนินงานในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯอันนี้ไม่ตรงเป็นห่วง เติบโตได้กมากกว่าเป้าหมายแน่นอน เพราะเราซื้อขายเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯอยู่แล้ว"นายอนุสรณ์ กล่าว