โบรกฯเชียร์"ซื้อ"SCC แม้มองกำไร Q2/61 ทรงตัว แต่ราคาหุ้นสะท้อนผลงานอ่อนแอแล้ว, แนวโน้มธุรกิจปูนดีขึ้น-ปันผลแกร่ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday May 2, 2018 14:18 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ แนะนำ"ซื้อ"หุ้นบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) แม้มองกำไรไตรมาส 2/61 จะทำได้เพียงแค่ทรงตัวจากไตรมาสก่อน ซึ่งนับว่าผลการดำเนินงานยังคงอ่อนแอต่อเนื่องจากไตรมาส 1/61 ที่กำไรหดตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อน โดยในไตรมาส 2/61 ธุรกิจปิโตรเคมีคาดว่าจะมีส่วนต่าง (สเปรด) อ่อนตัวลงจากไตรมาสแรก แต่ก็ยังทรงตัวระดับแข็งแกร่ง รวมถึงมีเงินปันผลรับเข้ามามากขึ้น ขณะที่ธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างอาจชะลอตามฤดูกาล แต่ก็มีสัญญาณที่ดีจากความต้องการทั้งตลาดในและต่างประเทศที่เริ่มดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ประเมินแนวโน้มกำไรทั้งปี 61 ของ SCC จะหดตัวลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว จากผลกระทบทั้งในส่วนของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น และราคาน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับสูง ผลักดันให้ต้นทุนแนฟทาซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของธุรกิจปิโตรเคมีปรับตัวสูงขึ้นด้วย แต่ด้วยราคาหุ้น SCC ที่ลดลงมามากนั้นได้สะท้อนผลกำไรที่อ่อนแอไปแล้ว และทำให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเพิ่มขึ้นเป็นราว 4% ประกอบกับสเปรดปิโตรเคมียังอยู่ในเกณฑ์ดี และธุรกิจซีเมนต์มีสัญญาณดีขึ้น ยังเป็นปัจจัยหนุนต่อการลงทุน

พักเที่ยงราคาหุ้น SCC อยู่ที่ 466 บาท ลดลง 2 บาท หรือ 0.43% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยลดลง 0.28%

          โบรกเกอร์                      คำแนะนำ                 ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
          เอเซีย พลัส                        ซื้อ                         600
          ทิสโก้                             ซื้อ                         586
          หยวนต้าฯ                        ซื้อเก็งกำไร                    550
          ฟิลลิปฯ                            ซื้อ                         550
          ทรีนีตี้                             ซื้อ                         530
          เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ                   ซื้อ                         550

นักวิเคราะห์บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของ SCC ในไตรมาส 2/61 น่าจะทำได้เพียงแค่ทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/61 ที่ผลกำไรออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ 5-7% โดยมีกำไรสุทธิ 1.24 หมื่นล้านบาท ลดลง 1% จากไตรมาสก่อน และลดลง 29% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าธุรกิจปิโตรเคมีจะยังมีสเปรดสูงขึ้น แต่ SCC ไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่ เพราะยอดขายส่วนหนึ่งได้ขายล่วงหน้าไปแล้ว อีกทั้งถูกกดดันจากรายจ่ายทางภาษีที่สูงขึ้นหลังสิทธิประโยชน์ทางภาษี 8 ปีเริ่มหมดลง และส่วนแบ่งกำไรและเงินปันผลรับจากบริษัทในเครือลดลงจากการหยุดซ่อมโรงงาน รวมถึงผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น

ส่วนในไตรมาส 2/61 คาดว่าธุรกิจวัสดุก่อสร้างอาจชะลอตามฤดูกาล แต่มีสัญญาณที่ดีจากความต้องการทั้งตลาดในและ ต่างประเทศที่เริ่มดีขึ้น เชื่อว่าจะช่วยให้ธุรกิจวัสดุก่อสร้างทรงตัวได้เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีคาดดีขึ้น จากสเปรดที่ทรงตัวในระดับแข็งแกร่ง และไม่มียอดขายบางส่วนที่ขายล่วงหน้าเหมือนในไตรมาสแรก ทำให้รับรู้มาร์จิ้นได้เต็มที่ รวมถึงโรงงานบริษัทในเครือจะกลับมาเดินเครื่องหลังหยุดซ่อมบำรุง และการรับรู้ถึงเงินปันผลรับที่จะเข้ามามากขึ้นตามผลฤดูกาล

อย่างไรก็ตามตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศ ช่วงไตรมาส 1/61 ฟื้นจากการติดลบครั้งแรกในรอบ 7 ไตรมาสนับเป็นสัญญาณที่ดีขึ้นจากการลงทุนของภาครัฐ ซึ่งยังต้องจับตาถึงแนวโน้มธุรกิจวัสดุก่อสร้างที่หากทรงตัวถึงฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งในช่วง ครึ่งหลังของปีนี้ ก็จะกลายเป็น upside risk ต่อประมาณการทั้งปีได้ ส่วนสเปรดของปิโตรเคมีในช่วงที่เหลือของปีนี้อาจจะชะลอตัวลงเล็กน้อย หลังจากสเปรดดีมากในไตรมาสแรกเพราะในช่วงต้นปีจีนประกาศใช้นโยบายลดการใช้พลาสติกรีไซลเคิล ทำให้มีความต้องการพลาสติกในตลาดเข้ามามาก ทั้งนี้ ประเมินกำไรปกติของ SCC ปี 61 ที่ระดับ 5.1 หมื่นล้านบาท ลดลง 2% จากปีที่แล้ว

"แม้ว่ากำไรในไตรมาส 1/61 ของ SCC จะออกมาต่ำกว่าคาด แต่ก็ไม่มากประมาณ 5-7% ซึ่งกำไรไตรมาสแรกคิดเป็นประมาณ 24% ของกำไรปกติทั้งปีนี้ที่คาดไว้ 5.1 หมื่นล้านบาท...ราคาหุ้นที่ปรับลดลงมากนั้นทำให้ยัง laggard และ downside จำกัด ขณะที่ SCC ยังมีผลตอบแทนจากเงินปันผลราว 4% รองรับด้วย"นักวิเคราะห์ กล่าว

ด้านบทวิเคราะห์บล.ทรีนีตี้ ระบุว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานของ SCC ในไตรมาส 2/61 จะทรงตัวจากสเปรดผลิตภัณฑ์ธุรกิจปิโตรเคมีอาจจะปรับลงเล็กน้อยกว่าไตรมาสก่อน แต่ยังคงทรงตัวได้อยู่ในระดับสูง แต่ตามปกติไตรมาส 2 จะมีรายได้จากเงินปันผลจากบริษัทร่วมเข้ามา ประกอบกับส่วนแบ่งรายได้จากบริษัทร่วมทุนจะเพิ่มกลับมาเป็นปกติหลังสิ้นสุดการปิดซ่อมบำรุงโรงงาน อย่างไรก็ตามแนวโน้มธุรกิจปิโตรเคมียังคงแข็งแรง ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการบริโภค ขณะที่ธุรกิจปูนซีเมนต์น่าจะค่อยฟื้น ๆ ตัว โดยภาพระยะยาวของ SCC ที่ยังคงมีความมั่นคง ฐานะทางการเงินแข็งแรง

บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ โดยประเมินกำไรในไตรมาส 2/61 ของ SCC มีแนวโน้มทรงตัวจากไตรมาสก่อน เนื่องจากการกลับมาเดินเครื่องอีกครั้งของโรงงานของบริษัทร่วมทุน น่าจะถูกกลบด้วยผลกระทบจากสเปรดผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ที่อ่อนตัวลง เป็นผลจากความต้องการลดลงในช่วงโลว์ซีซั่นและอุปทานที่เพิ่มขึ้นหลังจากที่โรงงานเริ่มกลับมาผลิตอีกครั้งหลังผ่านฤดูหนาว

ขณะที่มีสัญญาณฟื้นตัวในธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง โดยการเริ่มก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล เป็นไปตามแผน น่าจะหนุนให้ความต้องการใช้ซีเมนต์ของภาครัฐฯเติบโตต่อเนื่องในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ส่วนความต้องการใช้ซีเมนต์สำหรับการก่อสร้างที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชน์ก็ดูจะดีขึ้นในครึ่งหลังของปี 61 จากการเปิดโครงการที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน และศูนย์การค้าที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ราคาซีเมนต์เริ่มขยับขึ้นในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยราคาซีเมนต์เพิ่มขึ้น 3% จากงวดปีก่อนและไตรมาสก่อน นับเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 4 ปี และการปรับขึ้นครั้งนี้มากกว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งน่าจะส่งผลให้อัตรากำไรขยายตัวด้วย

ทั้งนี้ มองว่า SCC เป็นบริษัทที่เหมาะสำหรับถือรับปันผล ด้วยอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึง 4% แม้ผลประกอบการอาจไม่เติบโตในระยะสั้น แต่กระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง และเงินสดในมือที่มีอยู่มาก รวมการใช้เงินลงทุนที่น้อยลงเนื่องจากโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในประเทศเวียดนามล่าช้าออกไป อาจส่งผลให้ SCC เพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผลมากขึ้น

แต่นายประสิทธิ์ รัตนกิจกมล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส มองว่ากำไรสุทธิของ SCC ในไตรมาส 2/61 จะฟื้นตัวมายืนเหนือระดับ 1.35 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดปีก่อนและไตรมาสก่อน จากแรงหนุนของธุรกิจปิโตรเคมี ที่เชื่อว่าสเปรดปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์จะยังทรงตัวในระดับสูง ซึ่งจะส่งผลบวกเต็มที่ในงวดไตรมาสนี้ หลังจากที่ในไตรมาสก่อน SCC ได้มีการขายสินค้าล่วงหน้า 1 เดือนเศษทำให้ไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่จากสเปรดผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้นในไตรมาสแรก

ประกอบกับโรงงานของบริษัทร่วมทุนในธุรกิจปิโตรเคมีที่หยุดซ่อมบำรุงได้กลับมาเปิดการผลิตตั้งแต่เดือนเม.ย. ซึ่งจะทำให้ส่วนแบ่งกำไรกลับเข้าสู่ระดับปกติอีกครั้ง รวมถึงจะมีเงินปันผลจากธุรกิจลงทุนที่จะเข้ามาในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 4 ของทุกปี อีกราว 1.5-2 พันล้านบาท

ส่วนแนวโน้มธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในไตรมาส 2/61 น่าจะชะลอตัวลงจากไตรมาสแรกที่นับว่าเป็นไฮซีซั่นของภาคการก่อสร้างในแต่ละปี แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนน่าจะเติบโตขึ้น จากสัญญาณการฟื้นตัวของความต้องการใช้ในประเทศ หลังโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐฯเริ่มเดินหน้า

แม้กำไรของ SCC ในไตรมาส 1/61 จะทำได้ที่ระดับ 1.24 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 23.6% ของประมาณการกำไรทั้งปี 61 ที่ 5.26 หมื่นล้านบาท ซึ่งลดลงจากระดับ 5.5 หมื่นล้านบาทในปี 60 อย่างไรก็ตามมีมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการในไตรมาสที่เหลือของปีนี้ ที่คาดว่าจะทำได้ดีขึ้น และหุ้น SCC ยังมีความน่าสนใจจาก Valuation ที่มี PER ต่ำเพียง 11.46 เท่า

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่ากำไรของ SCC ในไตรมาส 1/61 ชะลอตัวลง จากแรงฉุดของธุรกิจปิโตรเคมี ขณะที่ธุรกิจซีเมนต์และบรรจุภัณฑ์ฟื้นตัวดีขึ้น โดยผู้บริหารของ SCC ประเมินความต้องการผลิตภัณฑ์โพลีโอเลฟินส์จะยังอยู่ในระดับสูง ทำให้สเปรดปิโตเคมีจะยังอยู่ในเกณฑ์ดี ซึ่งปัจจุบันสเปรดระหว่างโพลีเอทิลีน (PE) และแนฟทาซึ่งเป็นวัตถุดิบ อยู่ที่ 771 เหรียญสหรัฐ/ตัน

ด้านธุรกิจซีเมนต์ของ SCC ในภูมิภาคนี้จะดีขึ้นต่อเนื่อง ส่วนซีเมนต์ในประเทศคาดจะกลับมาเติบโตเล็กน้อย โดยการปรับเพิ่มขึ้นของราคาปูนซีเมนต์ประมาณ 50 บาท/ตัน ได้ช่วยชดเชยต้นทุนถ่านหินที่ปรับขึ้น แต่ก็มีปัจจัยด้านลบ คือการแข็งค่าของเงินบาท และต้นทุนแนฟทาที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยกำไรไตรมาสแรกมีสัดส่วนคิดเป็น 24% ของประมาณการทั้งปี ทำให้ยังคงประมาณการกำไรปี 61 ของ SCC ที่ระดับ 5.2 หมื่นล้านบาท ลดลง 5.5% จากปีก่อน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ