(เพิ่มเติม) "บิลท์ แลนด์" คาดยื่นไฟลิ่งขายหุ้น IPO 100 ล้านหุ้นใน Q4/61 คาดเข้าเทรด SET ภายใน Q2-Q3/62

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday May 4, 2018 14:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชัยรัตน์ ธรรมพีร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บิลท์ แลนด์ เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะนำ "บิลท์ แลนด์" เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในช่วงไตรมาส 2 หรือไตรมาส 3 ของปี 62 เพื่อรองรับแผนการขยายการลงทุนในอนาคต โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมยื่นไฟลิ่งนำบริษัทฯ เข้าตลาดหลักทรัพย์ช่วงไตรมาส 4/61 โดยบริษัทฯ จะเพิ่มทุนอีกจำนวน 100 ล้านหุ้น เพื่อขายให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ส่วนราคาเสนอขายก็จะต้องรอปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงินก่อนคือ บล.โนมูระ พัฒนะสิน

การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯครั้งนี้บริษัทจะนำเงินไปใช้เพื่อซื้อที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคต โดยที่ปัจจัยสำคัญในการพัฒนาโครงการ คือ ที่ดิน ซึ่งบริษัทจะต้องมีเงินรองรับเพื่อการซื้อที่ดิน ส่วนรูปแบบการพัฒนาโครงการนั้นขึ้นอยู่กับทำเลของที่ดินว่าจะพัฒนาโครงการในรูปแบบใด โดยที่บริษัทจะเน้นโครงการที่สร้างกำไรในระดับที่ดีให้กับบริษัท

"การเข้าตลาดจะเป็นการเพิ่มศักยภาพให้กับบิลท์ แลนด์ในอนาคต เพี่อสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ และเป็นความท้าทายให้กับทีมงานทุกคนของบริษัทในการผลักดันธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง โดยที่เราจะทำให้รายได้ของเรามีเสถียรภาพ ซึ่งก็ควรที่จะต้องไม่ต่ำกว่าปีละ 1,000 ล้านบาท อีกทั้งการระดมทุนเรายังเอาไปเพื่อซื้อที่ดินซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาโครงการ ก็เชื่อมั่นว่าการเสนอขาย IPO จะได้รับการตอบรับนักลงทุนเป็นอย่างดี และผมก็ยอมรับว่ามีนักลงทุนในประเทศรายหนึ่งมาขอซื้อหุ้นแบบ Pre IPO แต่ผมก็คงยังไม่ขาย รอขาย IPO จริง ๆ ทีเดียวเลย ซึ่งตรงนี้ก็แสดงถึงว่ามีนักลงทุนเชื่อมั่นในบริษัท"นายชัยรัตน์ กล่าว

จุดเด่นของบิลท์ แลนด์ อยู่ที่เป็นบริษัทที่มีกำไรต่อหุ้น (EPS) ในระดับที่ใกล้เคียงกับบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ 5 อันดับแรกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยบริษัทมี EPS ณ สิ้นปี 60 อยู่ที่ 0.82 บาท/หุ้น ขณะที่มีหนี้สินอยู่ไม่มาก โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 0.9 เท่า ในปัจจุบัน ประกอบกับผลงานในอดีตของบริษัทในการพัฒนาโครงการเป็นที่ยอมรับของลูกค้า ซึ่งเห็นได้จากยอดขายที่ทำได้ดีในช่วงที่ผ่านมา

บมจ.บิลท์ แลนด์ มีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท ซึ่งเป็นทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วทั้งหมด โดยนานชัยรัตน์ ธรรมพีร ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วนกว่า 90% และส่วนที่เหลือเป็นผู้บริหารและพนักงานของบริษัทถือหุ้น

นายชัยรัตน์ กล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างผลกำไรได้สูง เนื่องจากบริษัทมีความเชี่ยวชาญในการบริหารบริษัทอสังหาริมทรัพย์ มองขาดในเรื่องทำเล คุณภาพของงานก่อสร้าง ครอบคลุมไปถึงการบริหารจัดการหลังการขายที่มีบริษัท บิลท์ ฮาร์ท จำกัด ช่วยในการบริการลูกค้า จัดการบริหารอาคารนิติบุคคล และคอยรองรับการบริหารห้องชุดให้ลูกค้าในกรณีที่มีความต้องการขายต่อหรือให้เช่า รวมทั้งรู้จักกลุ่มเป้าหมายที่เป็นลูกค้าเป็นอย่างดี สำหรับโครงการในอนาคตจะเน้นไปที่การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวสูงเป็นหลักที่ระดับราคา 2-5 ล้านบาท เพื่อกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่ต้องการใช้ชีวิตอิสระ ปลอดภัย สะดวกสบายในการดูแลรักษา และง่ายต่อการเดินทาง

ส่วนแผนการร่วมทุนบริษัทข้ามชาตินั้น บริษัทยังเปิดกว้างอยู่ตลอด ที่ผ่านมาได้มีหลายบริษัทในประเทศเอเชีย เช่น สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ติดต่อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวจะมีส่วนสนับสนุนการขยายตลาดไปสู่ลูกค้าต่างชาติมากขึ้น โดยในการพิจารณาผู้ร่วมทุนนั้น บริษัทให้น้ำหนักเรื่องเม็ดเงินลงทุนและแนวทางการทำงานร่วมกันว่าสามารถร่วมกันได้หรือไม่เป็นหลัก ส่วนในเรื่องเทคโนโลยีหรือโนว์ฮาวต่างๆ นั้นเป็นเรื่องรองลงมา

นายชัยรัตน์ กล่าวว่า สำหรับในปี 61 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 60 โดยบริษัทเน้นที่อัตราการทำกำไรให้สูงขึ้น เนื่องจากโครงการต่างๆ ที่มีอยู่นั้น บริษัทได้มีการปรับขึ้นราคาขายไปแล้ว 5-10% โดยเฉพาะโครงการห้องชุดซึ่งอยู่ในแนวรถไฟฟ้า เช่น โครงการ "เลสโต คอนโด สุขุมวิท 113" สถานีสำโรง เป็นต้น

อีกทั้งยังมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ที่มีอยู่ 300 ล้านบาท จะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงไตรมาส 1/61 และไตรมาส 2/61 ส่วนโครงการที่เหลือขายพร้อมโอนซึ่งเป็นสต็อกของบริษัทในปัจจุบันมีมูลค่ารวม 800 ล้านบาท จาก 4 โครงการ ได้แก่ โครงการเทมโป แกรนด์ สาทร-วุฒากาศ โครงการเทมโป ควอร์ด สะพานใหม่ โครงการริทโม ชัยพฤกษ์-วงแหวน และโครงการโครงการเลสโต คอนโด สุขุมวิท 113

"เลสโต คอนโด สุขุมวิท 113" สถานีสำโรง เป็นคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จแล้ว แต่งครบพร้อมเข้าอยู่ บนเนื้อที่ 7 ไร่เศษ เป็นคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise 8 ชั้น 4 อาคาร จำนวน 786 ยูนิต มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพสูง ห่างจาก BTS สถานีสำโรงเพียง 400 เมตร และในอนาคตสถานีนี้จะเป็นสถานี Interchange เชื่อมต่อเพื่อเปลี่ยนไปสายสีเหลืองที่วิ่งไปทางรัชดา – ลาดพร้าว ได้ด้วย

"ภาพรวมเศรษฐกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2561 มีแนวโน้มเติบโตไปในทิศทางที่ดีขึ้นมากกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากมีปัจจัยที่ดีขึ้นทั้งจากการส่งออก การท่องเที่ยว อัตราดอกเบี้ยทรงตัวค่อนข้างต่ำ นอกจากนี้ภาครัฐยังมีการลงทุนโครงการด้านสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ต่อเนื่อง จึงเป็นสัญญาณที่ดีของภาคอสังหาริมทรัพย์ ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่น และเริ่มกลับเข้าสู่การตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับปัจจุบันชาวต่างชาติหันมาซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก เพราะราคายังถูกอยู่มากเมื่อเทียบกับราคาในประเทศของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง คอนโดมิเนียมที่ยังได้รับความสนใจอยู่จะเป็นบริเวณแนวรถไฟฟ้า รถไฟฟ้าใต้ดินทั้งที่สร้างเสร็จแล้วและส่วนต่อขยาย ในขณะที่กำลังซื้อที่ดินของผู้ประกอบการที่จะนำมาพัฒนาโครงการยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง เพราะมีแหล่งเงินทุนจากต่างชาติเข้ามาลงทุนร่วมกับคนไทยในการประกอบธุรกิจคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะ ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ ส่งผลให้ราคาที่ดินดิบมีราคาสูงต่อเนื่อง ทำให้ในอนาคตราคาคอนโดมิเนียมจะมีราคาสูงเพิ่มขึ้นตาม ตลาดก็จะมีการแข่งขันมากยิ่งขึ้น ซึ่งจำเป็นที่ผู้ประกอบการจะต้องหาตลาดใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดที่รองรับกำลังซื้อของคนต่างชาติ"นายชัยรัตน์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ