นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะฟื้นตัวในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ส่วนใหญ่จะปรับตัวขึ้น รับอานิสงส์จากราคาน้ำมัน WTI ที่พุ่งขึ้นทะลุ 70 เหรียญฯต่อบาร์เรล สูงสุดในรอบ 3 ปีครึ่ง ซึ่งจะช่วยหนุนการลงทุนหุ้นในกลุ่มพลังงาน
นอกจากนี้ อาจจะมีการเข้ามาเล่นเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มแบงก์ เนื่องจากมีข่าวออกมาว่าที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เสนอให้เลื่อนใช้มาตรฐานบัญชี IFRS9 ไปอีก 3 ปีข้างหน้า แต่ก็ยังเป็นเพียงข้อเสนอเท่านั้น ซึ่งหากมีการเลื่อนใช้ออกไปจริงก็จะเป็นผลบวกต่อหุ้นในกลุ่มแบงก์ อย่างไรก็ดีให้ติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป
อีกทั้งเงินดอลลาร์สหรัฐฯก็ทรงตัว พร้อมให้ติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มพลังงานที่จะออกมาหลายบริษัทในช่วงนี้ โดยให้แนวรับ 1,776-1,770 จุด ส่วนแนวต้าน 1,790-1,795 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (7 พ.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,357.32 จุด เพิ่มขึ้น 94.81 จุด (+0.39%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,672.63 จุด เพิ่มขึ้น 9.21 จุด (+0.35%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,265.21 จุด เพิ่มขึ้น 55.60 จุด (+0.77%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 26.51 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 1.34 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 129.51 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 5.53 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 7.07 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 3.99 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 8.25 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (7 พ.ค.61) 1,779.80 จุด ลดลง 0.07 จุด (-0.00%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,335.61 ล้านบาท เมื่อวันที่ 7 พ.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (7 พ.ค.61) ปิดที่ระดับ 70.73 ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้น 1.01 ดอลลาร์ หรือ 1.5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 26 พ.ย. 2557
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (7 พ.ค.61) ที่ 5.86 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.85/87 แนวโน้มแกว่งแคบในกรอบ 31.80-31.90 ตลาดรอปัจจัยใหม่
- ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) มีมติให้ทำหนังสือถึงกระทรวงการคลัง คณะกรรมการกำกับดูแลการประกอบวิชาชีพบัญชี (กกบ.) เลื่อนใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับใหม่ หรือมาตรฐานบัญชี IFRS9 ที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2562 เป็นปี 2565 ขณะที่มองเศรษฐกิจไทยยังโต รับอานิสงส์ส่งออก-ท่องเที่ยว ชี้ไตรมาส 1/61 ขยายตัว 4.0% คงคาดการณ์ปีนี้โต 4.0-4.5% ส่งออก 5.0-8.0%
- เมื่อวันที่ 7 พ.ค. ราชกิจจานุเบกษาลงเผยแพร่ประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคมย่าน 1740-1785/1835-1880 เมกะเฮิรตซ์ (MHz) กสทช. จะนำคลื่นออกประมูลในวันที่ 4 ส.ค. 2561 จำนวน 3 ใบอนุญาต ใบอนุญาตละ 15 MHz ราคาเริ่มต้น 37,457 ล้านบาท/15 MHz
- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตามที่มีกระแสข่าวเกี่ยวกับผลขาดทุนของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ที่แชร์กันตามโซเชียลมีเดีย อาจสร้างความตกใจให้กับประชาชน เพราะมีข้อเท็จจริงและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน หลายประการ ธปท.ชี้แจงว่า ธปท.ไม่ได้ เก็งกำไรค่าเงิน
- ในวันที่ 15 พ.ค.นี้ หอการค้าไทยจะหารือกับประธานหอการค้าต่างประเทศเกี่ยวกับทิศทางการเข้ามาลงทุนในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี และในโครงการต่างๆ ในไทย หลังจากสมาชิกหอการค้าแต่ละประเทศให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนอย่างมาก เบื้องต้นหอการค้าไทยต้องการทราบว่านักลงทุนต่างประเทศมีความกังวลเรื่องอะไรบ้างโดยเฉพาะขั้นตอน, ระเบียบและข้อกฎหมายต่างๆ ที่ยังไม่ชัดเจน เพื่อนำเสนอข้อมูลให้รัฐบาลได้พิจารณาต่อไป
*หุ้นเด่นวันนี้
- SNC (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 22 บาท กำไรสุทธิ Q1/61 ออกมาตามคาด แนวโน้ม Q2/61 ยังเพิ่มขึ้น yoy จากผลบวกของการปรับโครงสร้างธุรกิจ ส่งผลให้ภาพรวมทั้งปีกำไรจะยังขยายตัวได้ตามคาดที่ 480 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20%yoy ขณะเดียวกัน SNC มีกระแสเงินสดในมือสูงจึงเป็นไปได้ที่บริษัทจะประกาศแผนธุรกิจใหม่หรือจ่ายปันผลพิเศษออกมาในช่วงปีหน้า
- ROBINS (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 78 บาท คาดกำไรสุทธิ Q1/61 จะเติบโตดี 12% Y-Y จาก SSSG ที่จะพลิกฟื้นเป็นบวกราว 2.5% Y-Y ถือเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส จากการฟื้นตัวของกำลังซื้อในต่างจังหวัด แนวโน้มกำไรจะดีต่อเนื่องใน Q2/61 และจะทำจุดสูงสุดของปีใน Q4/61 โดยมีแผนเปิด 2 สาขาใหม่ในช่วง H2/61 พร้อมคาดกำไรสุทธิปี 2561 จะเติบโตราว 13.5% Y-Y และถือเป็นหุ้นในกลุ่มค้าปลีกที่ราคาหุ้นค่อนข้าง Laggard กว่ากลุ่ม และราคาหุ้นปัจจุบันคิดเป็น Forward PE เพียง 23 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มที่ 28-30 เท่า
- KBANK (ยูโอบี เคย์เฮียน) ราคาหุ้นปรับลดลง 17% YTD ซึ่งน่าจะตอบรับความเสี่ยงจากการปรับลดค่าธรรมเนียมมากเกินไป ขณะที่ผลกระทบจากการปรับลดค่าธรรมเนียมอยู่ที่ราว 5-7% ของกำไร จึงมองหุ้นมีโอกาสฟื้นตัว