บล.กสิกรไทย ปรับเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ในปีนี้ลงมาที่ 1,888 จุด จากเดิมคาดไว้ที่ราว 1,914 จุด หลังสมมติฐานกำไรกลุ่มธนาคารปรับลดลงเนื่องจากยกเลิกค่าธรรมเนียมธุรกรรมออนไลน์
ขณะที่มองดัชนี SET เดือน พ.ค.จะปรับตัวลดลง แนะเป็นโอกาสซื้อเก็บ ส่วนครึ่งปีหลังดัชนีน่าจะปรับตัวดีขึ้น หลังการเลือกตั้งมีความชัดเจนมากขึ้น โดยคาดว่าเลือกตั้งจะเกิดภายในไตรมาส 1/62 ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า การปรับลดเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้ลงมาจากการปรับลดสมมติฐานผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชย์ทั้งปี เนื่องจากความกังวลรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่าจะได้รับผลกระทบกลุ่มธนาคารพาณิชย์ประกาศยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมออนไลน์
แต่ทั้งนี้ยังคาดการณ์ว่าดัชนีหุ้นไทยในครึ่งหลังปีนี้ยังอยู่ในทิศทางที่ดี จากภาพของการเมืองในประเทศชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะทำให้นักลงทุนต่างชาติมีความมั่นใจในการลงทุน และมีกระแสเงินทุน (fund flow) ไหลกลับเข้ามา
ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดลงมติผลการตีความร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งวุฒิสภา (ส.ว.) ในวันที่ 23 พ.ค.นี้ ซึ่ง บล.กสิกรไทย ยังมีความกังวลและยังต้องติดตามว่าร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวจะขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่
หากไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญก็คาดว่าจะสามารถเลือกตั้งได้ภายในไตรมาสที่ 1/62 ซึ่งถ้าเกิดการเลือกตั้งขึ้น ก็จะทำให้เกิดการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ตามมา โดยเฉพาะในส่วนของร่างพ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) หากมีการประกาศใช้เป็นกฎหมาย ก็จะกระตุ้นให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาด้วยเนื่องจากต่างชาติจะได้รับสิทธิประโยชน์ค่อนข้างมาก
นอกจากนี้ คาดว่าทิศทางตลาดหุ้นจะสอดคล้องไปกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) คาดว่าในไตรมาสที่ 1/61 จะอยู่ที่ระดับ 4.2% จากการส่งออกยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง การท่องเที่ยวที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ขณะที่การบริโภคในประเทศ การลงทุนภาคเอกชนและภาครัฐที่ดีขึ้นเป็นปัจจัยหนุนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ในอนาคต ประกอบกับ ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐมีแนวโน้มลดลง จากการเริ่มเจรจาข้อตกลงทางการค้าในช่วงที่ผ่านมาก็จะช่วยหนุนภาพรวมการลงทุนด้วย
นายประกิต กล่าวอีกว่า ผลประกอบการปี 61 ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในกลุ่มสื่อสารคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นหลังได้ผ่านจุดต่ำสุดในปีที่ผ่านมา อีกทั้งคาดว่าสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะเปิดรับสำหรับผู้สนใจเข้าร่วมประมูลคลื่นความถี่ 1800 เมกะเฮิรตซ์ โดยให้เตรียมความพร้อมในเดือน มิ.ย.61 หากมีผู้เข้าประมูลไม่เกิน 3 รายจะทำให้ตลาดคลายกังวลในเรื่องของการแข่งขัน จากเดิมที่มีความกังวลต่อการแข่งขันที่รุนแรงและกดดันมากขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
ส่วนกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง คาดว่าผลประกอบการจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปี โดยจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้จากงานในมือ (backlog) จากเริ่มก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ อาทิ รถไฟฟ้าสายสีต่าง ๆ ส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ จะปรับตัวดีขึ้นตามเศรษฐกิจในประเทศ สัญญาณการลงทุนภาคเอกชนและการบริโภคในประเทศ
นอกจากนี้ มองว่าการปรับตัวลงของดัชนีฯ ในช่วงเดือนพ.ค.นี้เป็นโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อและทยอยสะสม เนื่องจากเชื่อว่าหลังจากปลายเดือนนี้จะถึงจุดเปลี่ยนและชัดเจนขึ้น โดยบล.กสิกรไทย แนะนำซื้อ BBL, KTB, MTC, ORI, LH, KCE, PT, PTTGC, SPRC, CPN, CPALL, HMPRO, BEAUTY, BEM, TISCO, BGRIM
นายประกิต กล่าวอีกว่า คาดการณ์ค่าเงินบาทปี 61 จะอยู่ที่ระดับ 32 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งสาเหตุที่จะทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงมาจากสองปัจจัยหลักคือ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และบัญชีเดินสะพัดของไทยเกินดุลลดลง จากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น และการนำเข้าสูงขึ้นตามการลงทุนที่มากขึ้นด้วย