บมจ. เค. ดับบลิว. เม็ททัล เวิร์ค (KWM) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (Filing) ฉบับแรกต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 8 พ.ค.61 เนื่องจากบริษัทจะเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 120 ล้านหุ้น แบ่งเป็นเสนอขายให้แก่ประชาชนไม่น้อยกว่า 115,000,000 หุ้น และเสนอขายให้แก่กรรมการและผู้บริหารบริษัทไม่เกิน 5,000,000 หุ้น
บริษัทต้องการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) มี บล. เออีซี เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน โดยมีวัตถุประสงค์การใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อจ่ายชำระหนี้แก่เจ้าหนี้สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ คาดว่าจะใช้เงินภายในปี 62
KWM ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับใช้ในการเกษตร พร้อมทั้งมีการวิจัยและพัฒนาคุณภาพของอุปกรณ์การเกษตรด้วยตนเอง ปัจจุบัน บริษัทเป็นผู้ผลิตใบผาล ใบจักร ใบคัดท้าย โครงผาล ใบดันดิน ใบเกลียวลำเลียง ภายใต้ตราสินค้า "Pegasus" ซึ่งเป็นตราสินค้าของทางบริษัทเอง ทั้งนี้บริษัทยังมีการให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าให้กับตราสินค้าอื่น ๆ ตามแบบที่ลูกค้าของบริษัทกำหนด เช่น บริษัท สยามคูโบต้า คอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นต้น
สำหรับผลิตภัณฑ์ใบเกลียวลำเลียงนั้นสามารถนำไปใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องจักรที่มีการขนส่งทางท่อที่ใช้กันในหลายธุรกิจ เช่น ท่อลำเลียงเมล็ดพืชผลทางการเกษตรในไซโล รถเกี่ยวนวดข้าว หรือแม้แต่ท่อลำเลียงคอนกรีตในเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นต้น
บริษัทมีทุนจดทะเบียน 210 ล้านบาท เป็นทุนที่เรียกชำระแล้ว 150 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 300 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หลังเสนอขายหุ้น IPO บริษัทจะมีทุนชำระแล้วเป็น 210 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 420 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ณ วันที่ 22 มี.ค. 2561 คือ กลุ่มวนโกสุม ถือหุ้น 300 ล้านหุ้น คิดเป็น 100% หลังเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้แล้วจะถือหุ้น 301.50 ล้านหุ้น คิดเป็น 71.79%
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงปี 58-60 บริษัทละบริษัทย่อยมีรายได้รวม 263.23 ล้านบาท จำนวน 275.59 ล้านบาท และจำนวน 260.48 ล้านบาทตามลำดับ ทั้งนี้ในปี 60 ยอดขายลดลงตามผลิตภัณฑ์ประเภทโครงผาล เนื่องจากปัญหาด้านคุณภาพของวัตถุดิบของคู่ค้ารายหนึ่ง บริษัทจึงมีความจำเป็นที่จะต้องชะลอการผลิตส่งผลให้ส่งสินค้าเพื่อขายให้แก่ลูกค้าได้ลดลง
ด้านกำไรสุทธิในปี 58-60 เท่ากับจำนวน 27.80 ล้านบาท จำนวน 35.78 ล้านบาท และจำนวน 20.83 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 10.65%, 13.04% และ 8.12% ตามลำดับ โดยในปี 60 การปรับตัวลดลงของอัตรากำไรสุทธิมาจากการลดลงของรายได้จากสภาวะอากาศแปรปรวน และการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการบริหารที่บริษัทมีการลงทุนในเครื่องจักรและค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการที่เพิ่มมากขึ้น
ณ สิ้นปี 60 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 372.99 ล้านบาท หนี้สินรวม 131.95 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 211.04 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่าอัตรา 45% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการ ภายหลังจากหักภาษีและเงินทุนสำรองตามกฎหมายและเงินสำรองอื่น