นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) เปิดเผยว่า บริษัทยังมั่นใจว่าผลงานในปีนี้จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากคาดว่าพอร์ตสินเชื่อจะทะลุ 50,000 ล้านบาท หรือเติบโตไม่ต่ำกว่า 40% หลังจากไตรมาส 1/61 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 38,000 ล้านบาท จากช่วงสิ้นปีอยู่ที่ 36,800 ล้านบาท โดยบริษัทได้ขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง
ประกอบกับบริษัทได้มีการขยายสาขาครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ ได้มากขึ้น โดยในปีนี้บริษัทฯคาดว่าการเปิดสาขาจะเพิ่มเป็น 3,000 สาขา จากที่ปัจจุบันบริษัทฯสามารถเปิดสาขาได้ตามเป้าหมายทั้งปีไปแล้วจนขณะนี้เพิ่มขึ้นมาเป็น 2,800 สาขา
นายชูชาติ กล่าวว่า ทิศทางการปล่อยสินเชื่อในช่วงไตรมาส 2/61 จะสามารถปล่อยสินเชื่อได้ตามเป้าหมายที่เติบโต 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และจะเติบโตจากไตรมาส 1/61 ราว 10-12% โดยเฉพาะในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. จะมียอดปล่อยสินเชื่อค่อนข้างมาก เนื่องจากมีความต้องการใช้เงินของผู้ปกครองในช่วงเปิดภาคเรียน ประกอบกับอยู่ในช่วงของฤดูทำนาด้วย
ขณะที่บริษัทเชื่อว่าจะสามารถรักษาระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ให้อยู่ที่ไม่เกิน 1.5% จากช่วงสิ้นไตรมาส 1/61 ยังคงอยู่ในระดับต่ำเพียง 1.29% โดยบริษัทจะให้ความสำคัญเรื่องของการควบคุมคุณภาพสินเชื่ออย่างรัดกุม
สำหรับแหล่งเงินทุนเพื่อรองรับการขยายกิจการในปี 61-62 บริษัทได้ขออนุมัติวงเงินเพื่อออกหุ้นกู้ไว้แล้ว 15,000 ล้านบาท ขณะที่ยังมีวงเงินที่เหลือจากปีก่อนอีก 5,000 ล้านบาท โดยในไตรมาส 3/61 บริษัทเตรียมออกหุ้นกู้มูลค่าราว 2,000 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังมีวงเงินที่สามารถขอสินเชื่อจากธนาคารอีก 8,000 ล้านบาท และอยู่ระหว่างขอขยายวงเงินขึ้นอีก 2,000 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดเพียงพอต่อการขยายกิจการ
นายชูชาติ กล่าวกรณีที่ผู้ประสานงานกลุ่มพิทักษ์สิทธิลูกหนี้เตรียมยื่นฟ้องต่อศาลคดีแพ่งกล่าวหาว่าบริษัทฯคิดดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ 15% ว่า ไม่หนักใจ เนื่องจากข้อกฎหมายเขียนไว้ว่าให้สามารถคิดอัตราดอกเบียในระดับ 15% แต่ไม่ได้ระบุค่าบริการ ค่าปรับ และค่าติดตาม ในอัตราเท่าได แต่ได้ระบุไว้ว่าเก็บได้ในอัตราที่เห็นสมควร
ส่วน พ.ร.บ.การกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงินนอกกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นั้น เชื่อว่าบริษัทจะไม่ได้รับผลกระทบ โดยเฮพาะขณะนี้ยังไม่ยืนยันว่ากำหนดการคิดอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับ 15% หรือไม่ เนื่องจากเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการที่จะถูกจัดตั้งขึ้นเป็นผู้เสนอว่าจะกำหนดเพดานการคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมไว้ที่เท่าได โดยส่วนตัวไม่ได้กังวลเนื่องจากเดิม ธปท. ก็ได้กำหนดสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ ที่ 36% และสินเชื่อบุคคลที่ระดับ 28% ดังนั้น เพดานดอกเบี้ยของผู้ให้บริการทางการเงินนอกกำกับของธปท.ก็ไม่น่าจะต่ำกว่านั้น