นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) เปิดเผยว่า ในไตรมาสแรกบริษัทมีกำไรสุทธิ 5,814 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน รับผลจากการเติบโตจากธุรกิจเดิม (Organic growth) และการปรับปรุงโครงสร้างในอุตสาหกรรม อีกทั้งโครงการส่งเสริมการเติบโตและการเข้าซื้อกิจการภายใต้แผนยุทธศาสตร์ สร้างการเติบโตทางกำไรอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
ขณะที่ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน อยู่ที่ 2.3 ล้านตัน เป็นผลจากการเติบโตปริมาณการผลิตจากธุรกิจเดิม โครงการการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต อัตราการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากการบูรณาการกิจการ HVA ที่ได้เข้าซื้อไปในปี 60
บริษัทมีกำไรต่อหุ้น (EPS) ในไตรมาสนี้อยู่ในระดับสูงสุด ที่ 1.04 บาทต่อหุ้น หลังจากจำนวนหุ้นใหม่ที่เพิ่มขึ้น 11% จากการใช้สิทธิในใบสำคัญแสดงสิทธิ์ (warrants) บางส่วน
นายอาลก กล่าวว่า ธุรกิจในอเมริกาเหนือและยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา (EMEA) มีการพัฒนาอย่างแข็งแกร่ง ส่วนในเอเชียอยู่ระหว่างการฟื้นตัว อย่างไรก็ตามแม้ว่ากำไรในเอเชียจะอยู่ในระดับที่ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ยังไม่ได้สะท้อนภาพทั้งหมดของการปรับปรุงพื้นฐานที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรม โดยมีการคาดการณ์ว่า ปริมาณความต้องการโพลีเอสเตอร์ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง การห้ามนำเข้าขยะพลาสติกในประเทศจีน และความมีวินัยที่เพิ่มขึ้นของผู้ผลิตในเรื่องปริมาณสินค้า จะเป็นปัจจัยที่ช่วยเสริมธุรกิจในไตรมาสถัดไป
โดยภาพรวมอุตสาหกรรมทั่วโลกยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง พร้อมปัจจัยหนุนจากสภาพตลาดในเอเชียที่ปรับตัวดีขึ้นจากความต้องการที่มีการเติบโตอย่างมาก ประกอบกับการปรับตัวอย่างสมดุลของอุปสงค์และอุปทาน รวมถึงวัฎจักรขาขึ้นของห่วงโซ่คุณค่าโพลีเอสเตอร์ ทั้งนี้ปริมาณความต้องการ PET เติบโตอย่างต่อเนื่องที่ 6%
"บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น ทั้งในตัวชี้วัดทางการเงินและการดำเนินงาน โดยได้รับแรงหนุนจากปริมาณการผลิตและกำไรที่เพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจและทุกภูมิภาค กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 344 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของการดำเนินงานในทุกกลุ่มธุรกิจและการปรับปรุงโครงสร้างในห่วงโซ่คุณค่าโพลีเอสเตอร์ โดยในไตรมาสนี้ ธุรกิจ PET มีผลการดำเนินงานดีเยี่ยม EBITDA เติบโต 64% ในขณะที่ EBITDA ในธุรกิจวัตถุดิบและธุรกิจเส้นใย เติบโต 23% และ 10% ตามลำดับ กระแสเงินสดจากการดำเนินงานโต 10% อยู่ที่ 249 ล้านเหรียญสหรัฐ"
ในการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์เพื่อสร้างการเติบโตของกำไรในธุรกิจ Necessities และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ธุรกิจในอเมริกาเหนือ บริษัทฯ ประกาศการเข้าซื้อกิจการโรงงานผลิต PET ในประเทศบราซิล กำลังการผลิต 550,000 ตันต่อปีและประกาศโครงการร่วมลงทุนใน PTA-PET ขนาด 2.4 ล้านตันที่เมืองคอร์ปัส คริสตี มลรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา
กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทฯ ในรอบ 12 เดือนสิ้นสุดไตรมาสที่ 1 ปี 2561 อยู่ที่ 941 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้งบการเงินมีความแข็งแกร่ง มีอัตราส่วนหนี้สินจากการดำเนินงานสุทธิต่อทุน ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 0.39 เท่า แผนการลงทุนของบริษัทฯ ประกอบด้วยโครงการเชิงยุทธศาสตร์หลายโครงการ รวมทั้งการเข้าซื้อกิจการที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลตอบแทนและการเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการเติบโตตามปกติ
"เราเริ่มต้นปีนี้ด้วยผลประกอบการที่ยอดเยี่ยม ทำสถิติสูงสุดทั้งในทางการเงินและผลการดำเนินงาน สะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งแต่มีความหลากหลายตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่าและภูมิภาคในการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนความทุ่มเทของพนักงานของเราและความมุ่งมั่นในการสร้างมูลค่าเพิ่มที่ยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสีย ทั้งนี้ความแข็งแกร่งของงบการเงิน กระแสเงินสดที่คาดการณ์และเส้นทางการเติบโตที่เพิ่มผล สร้างความเชื่อมั่นให้กับผมว่า เราจะสามารถดำเนินการตามเป้าหมายที่วางไว้ในการสร้างการเติบโตของกำไรร้อยละ 45 ในปี 62 จากปี 60" นายอาลก กล่าว