นายพิชญ์ โพธารามิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาการขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน (JASIF) ซึ่งคิดเป็นการถือหน่วยลงทุนตั้งแต่จัดตั้งกองทุนครั้งแรกในสัดส่วน 33.33% เนื่องจากบริษัทได้ลงทุนมาแล้วเป็นระยะเวลา 4 ปี และมีสิทธิขายหน่วยลงทุนออกไปได้
ขณะที่บริษัทคาดว่าจะได้เงินสดจากการขายทรัพย์สินเข้ากองทุนฯ ครั้งที่ 2 คิดเป็นมูลค่ารวม 3 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทจะนำไปคืนหนี้บางส่วน และขยายการลงทุนโครงข่ายบรอดแบนด์ อินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะการขยาย FTTx ในส่วนของ last mile ให้เป็นไปตามเป้าหมาย รวมถึงส่วนหนึ่งจะจัดสรรเป็นเงินปันผลพิเศษ
ทั้งนี้ การประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น JAS ในวันนี้ที่ประชุมมีมติอนุมัติให้ บมจ.ทริปเปิลที บรอดแบนด์ (TTTBB) ขายทรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสงส่วนเพิ่ม จำนวนไม่เกิน 9.8 แสนคอร์กิโลเมตร ให้แก่ JASIF ผ่านการทำรายการหลายครั้งในช่วงเวลา 1-3 ปี โดยมีมูลค่ารวมประมาณ 5-7 หมื่นล้านบาท
แบ่งเป็น ครั้งที่ 1 การขายเส้นใยแก้วนำแสงส่วนเพิ่ม 7.5-8.5 แสนคอร์กิโลเมตร คาดว่าจะเกิดขึ้นภายในต้นปี 62 มูลค่ารายการประมาณ 3.5-4.5 หมื่นล้านบาท และครั้งที่ 2 การขายเส้นใยแก้วนำแสงส่วนที่เหลือ 1.3-2.3 แสนคอร์กิโลเมตร คาดว่าจะดำเนินการได้ภายหลังการขายในส่วนแรกเสร็จสิ้น มูลค่ารายการประมาณ 1.5-2.5 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ ที่ประชุมผู้ถือหุ้น JAS ยังได้อนุมัติให้ TTTBB ทำรายการเช่าเส้นใยแก้วนำแสงส่วนเพิ่มทั้งหมดดังกล่าวจาก JASIF เพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจต่อไป แบ่งเป็น การเช่าทรัพย์สินส่วนเพิ่มครั้งที่ 1 มูลค่าประมาณ 2.77-5.11 หมื่นล้านบาท และครั้งที่ 2 มูลค่าประมาณ 3.74 พันล้านบาท ถึง 1.18 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม TTTBB คาดว่าจะเช่าเส้นใยแก้วนำแสงส่วนเพิ่มจาก JAFIF ระยะเวลา 12 ปี ซึ่งใกล้เคียงกับระยะเวลาการเช่าเส้นใยแก้วนำแสงเดิมตามสัญญาเช่าหลักเส้นใยแก้วนำแสงจำนวนประมาณ 80% ของเส้นใยแก้วนำแสงที่เป็นสินทรัพย์ของ JAFIF ตามธุรกรรมครั้งแรก แต่ TTTBB อาจเช่าในระยะยาวกว่า 12 ปี ขึ้นกับผลการเจรจาระหว่าง TTTBB และ JAFIF
พร้อมกันนี้ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นยังมีมติอนุมัติให้บริษัทเข้าจองซื้อหน่วยลงทุนที่ออกใหม่ของ JASIF เพิ่มเติม ในเบื้องต้นคาดว่าจะจองซื้อหน่วยลงทุนไม่เกิน 1 ใน 3 หรือประมาณไม่เกิน 33.33% ของจำนวนหน่วยลงทุนที่ออกใหม่ทั้งหมดของ JASIF มูลค่าสูงสุดประมาณ 1.66-2.3 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นธุรกรรมการจองซื้อหน่วยลงทุนครั้งที่ 1 มูลค่าสูงสุดประมาณ 1.16-1.5 หมื่นล้านบาท และธุรกรรมการจองซื้อหน่วยลงทุนครั้งที่ 2 มูลค่าสูงสุดประมาณ 5-8.3 พันล้านบาท
ขั้นตอนต่อไปทาง JAFIF จะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อพิจารณาและอนุมัติขายหน่วยลงทุนใหม่ต่อไป คาดว่าอย่างเร็วที่สุดจะดำเนินการได้แล้วเสร็จภายในปลายปี 61 หรือต้นปี 62
ส่วนจะมีการขายทรัพย์สินเข้ากองทุนฯ เพิ่มเติมอีกหรือไม่ในอนาคตนั้น นายพิชญ์ กล่าวว่า เมื่อธุรกิจมีการเติบโตต่อเนื่อง ยอดผู้ใช้บริการเพิ่มเป็น 5 ล้านรายในปี 63 ตามเป้าหมาย และ EBITDA เติบโต ก็อาจจะทำให้บริษัทมีเงินจ่ายค่าเช่าเพิ่มขึ้น จึงมีความเป็นไปได้ที่จะขายทรัพย์สินเข้ากองทุนฯ เป็นครั้งที่ 3