KTZ แจงกำไรสุทธิ Q1/61 หด 34% เหตุรับรู้ส่วนแบ่งกำไร ขาดทุนในลาว-เมียนมา รวมถึงกำไรธุรกิจหลักทรัพย์ในไทยหดลง

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday May 14, 2018 13:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บล. เคที ซีมิโก้ (KTZ) ชี้แจงผลการดำเนินงานตามงบการเงินที่แสดงเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียสอบทานแล้วสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2561 บริษัทมีผลกำไรสุทธิ 14.60 ล้านบาท กำไรสุทธิลดลง 7.50 ล้านบาท คิดเป็น 34%

บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทหลักทรัพย์ ทคตล - กท จำกัด เป็นบริษัทหลักทรัพย์ใน สปป. ลาว ซึ่งเป็นบริษัทร่วมที่บริษัทถือหุ้นในอัตรา 30% ตามวิธีส่วนได้เสีย 0.58 ล้านบาท และรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจาก KTZ Ruby Hill Securities Co.,Ltd. เป็นบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นบริษัทร่วมที่บริษัทถือหุ้นในอัตรา 49% ตามวิธีส่วนได้เสีย 1.23 ล้านบาท

ขณะที่ผลการดำเนินงานตามงบการเงินเฉพาะสอบทานแล้วสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2561 บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด (บริษัท) มีผลกำไรสุทธิ 15.24 ล้านบาท เทียบกับผลการดำเนินงานของงวดเดียวกันในปีก่อนที่มีผลกำไรสุทธิ 33.72 ล้านบาท กำไรสุทธิลดลง 18.48 ล้านบาท คิดเป็น 55% สืบเนื่องจากบริษัทมีรายได้รวม 379.18 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันในปีก่อน 10.49 ล้านบาท หรือ 3%

เนื่องจากกำไรและผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงินลดลง 27.50 ล้านบาทจากกำไรจากเงินลงทุนในหลักทรัพย์ลดลง 3.18 ล้านบาท และกำไรจากตราสารอนุพันธ์ลดลง 24.04 ล้านบาท

รายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ลดลง 8.46 ล้านบาทตามปริมาณธุรกรรมเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ที่ลดลง เนื่องจากจำนวนเงินให้กู้ยืมถัวเฉลี่ยลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนถึง 12%

ด้านรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการลดลง 6.90 ล้านบาทเนื่องจากรายได้จากการให้บริการที่ปรึกษาทางการเงินลดลง

อย่างไรก็ดี รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 222.23 ล้านบาท ในไตรมาสที่หนึ่งปี 2561 เป็น 253.31 ล้านบาทในไตรมาสที่หนึ่งปี 2561 เพิ่มขึ้น 31.08 ล้านบาท ในไตรมาสที่หนึ่งปี 2560 ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันของบริษัทเพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน ซึ่งสอดคล้องกับปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์รวมของตลาดหลักทรัพย์ (ไม่รวมบัญชีซื้อขายของบริษัทหลักทรัพย์) เพิ่มขึ้นจาก 50.87 พันล้านบาทเป็น 71.18 พันล้านบาท คิดเป็น 40%

รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาด TFEX ของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 17.39 ล้านบาทเป็น 21.88 ล้านบาท คิดเป็น 26%

ค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้น 11.55 ล้านบาท คิดเป็น 3% เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานเพิ่มขึ้น 14.52 ล้านบาท ส่วนใหญ่เนื่องจากค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่การตลาดและพนักงานเพิ่มขึ้น

ขณะที่ต้นทุนทางการเงินลดลง 2.21 ล้านบาทเนื่องจากดอกเบี้ยจ่ายเงินกู้ยืมเพื่อสนับสนุนธุรกรรมการให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ลดลง และดอกเบี้ยจ่ายเงินฝากของลูกค้าลดลง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ