นายหวัง วนาไพรสณฑ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. แอ็พพลาย ดีบี (ADB) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 1/61 (ม.ค.- มี.ค.61) บริษัทมีกำไรสุทธิ 8.56 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุน 0.29 ล้านบาท และมีรายได้รวม 349.95 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 361.39 ล้านบาท
ปัจจัยมาจากภาพรวมความต้องการใช้สินค้าที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกคอมปาวด์ในประเทศที่ขยายตัวได้ดีและการปรับราคาสินค้าเพื่อชดเชยราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น พร้อมทั้งกำหนดเงื่อนไขให้บริษัทฯ สามารถพิจารณาปรับขึ้นราคาสินค้าให้สอดคล้องกับราคาวัตถุดิบที่แท้จริง เพื่อลดความเสี่ยงจากราคาวัตถุดิบที่อาจผันผวน
"เราพอใจเป็นอย่างมากกับผลการดำเนินงานไตรมาสแรกของปีนี้ที่สามารถทำอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น หลังจากในช่วงเดียวกันของปีก่อนนั้น ADB ประสบปัญหาเรื่องต้นทุนวัตถุดิบปรับขึ้นราคาอย่างรวดเร็วตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่ในปีนี้เราสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากมีการปรับแผนงานและขอปรับขึ้นราคาสินค้าให้สอดคล้องกับภาวะต้นทุนการผลิตที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นที่เรียบร้อย" นายหวัง กล่าว
ส่วนการดำเนินงานไตรมาส 2/61 บริษัทประเมินว่าจะได้รับปัจจัยบวกจากการเริ่มส่งมอบสินค้าใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกพีวีซีเพื่ออุตสาหกรรมการแพทย์ ที่รับจ้างผลิต (OEM) ให้แก่ลูกค้าของกลุ่มโชวะซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์จากประเทศญี่ปุ่น โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจัดอยู่ในกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดี นอกจากนี้ยังเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้นของกลุ่มผลิตภัณฑ์กาวและผลิตภัณฑ์อะคริลิกยาแนวในเดือนเมษายนที่ผ่านมาอีกด้วย "คาดว่าแนวโน้มในไตรมาส 2/61 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และใกล้เคียงกับไตรมาส 1/61 จากภาพรวมการส่งออกที่กลับมาดีขึ้น โดยเฉพาะการส่งออก PVC ที่มีออเดอร์เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ในด้านของปัจจัยค่าเงินบาทในไตรมาส 2/61 เริ่มอ่อนค่าลง และราคาน้ำมันในไตรมาส 2/61 มีความผันผวนลดลง ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบอยู่ในระดับที่ทรงตัว ประกอบกับบริษัทได้มีการปรับราคาขายสินค้าบางชนิดไปแล้วในไตรมาสแรกที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทยังคงเติบโตได้"นายหวัง กล่าว
สำหรับแผนดำเนินงานในครึ่งปีหลังจะเร่งดำเนินการพัฒนาผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกพีวีซีเพื่ออุตสาหกรรมการแพทย์ เพื่อจำหน่ายให้แก่ลูกค้าทั่วไป โดยคาดว่าจะพร้อมผลิตและจำหน่ายได้ประมาณไตรมาส 3/61 ซึ่งจะส่งผลดีต่อการผลักดันเป้าหมายยอดขายทั้งปี 61 ที่ตั้งเป้าเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1,400-1,500 ล้านบาท หรือเติบโต 5-10% เมื่อเทียบกับปีก่อน
พร้อมพยายามปรับสัดส่วนยอดขายของเม็ดพลาสติก PVC และกาว ในสิ้นปีนี้ให้อยู่ที่ 50:50 จากปัจจุบันสัดส่วนยอดขายอยู่ที่ 60:40 เนื่องจากกาวให้มาร์จิ้นที่ 20% สูงกว่าเม็ดพลาสติก PVC ที่มีมาร์จิ้น 14-15%
ด้านการลงทุนบริษัทอยู่ระหว่างการติดตั้งเครื่องจักรใหม่เพื่อขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์อะคริลิกยาแนวและกาวแทนตะปู โดยคาดว่าจะเริ่มการผลิตได้ในไตรมาส 4/61 และเริ่มจำหน่ายสินค้าเชิงพาณิชย์ในช่วงต้นปี 62 และในช่วงไตรมาส 3/61 เตรียมลงทุนซื้อเครื่องจักรผลิตเม็ดพลาสติก Soft PVC ใหม่กำลังการผลิต 150-200 ตัน/เดือน โดยใช้เงินลงทุนกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งเข้ามาเสริมกำลังการผลิตเม็ดพลาสติก PVC เดิมที่ 1,800 ตัน/เดือน ที่ใช้กำลังการผลิตเต็ม 100% ทำให้บริษัทจะมีกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกเพิ่มเป็น 2,000 ตัน/เดือน
ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาลงทุนในการผลิตสินค้าใหม่เข้ามา เพื่อความหลากหลายของสินค้า และเสริมการเติบโตให้กับบริษัท ซึ่งการลงทุนใหม่ๆในอนาคตมองว่าจะเป็นการร่วมทุนเป็นหลัก เนื่องจากได้พันธมิตรที่เกี่ยวข้องเข้ามาเสริมศักยภาพการทำงาน และสามารถเริ่มการดำเนินงานได้ทันที