นายสุวัฒน์ เหลืองวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ. เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน (BWG) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 1/61 (สิ้นสุด 31 มี.ค.61) ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 78.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มีรายได้รวม 563.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.74% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 441.09 ล้านบาท
ทั้งนี้ รายได้และกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว นอกจากจะมาจากธุรกิจหลักคือ กำจัดกากอุตสาหกรรมอย่างครบวงจร ทั้งฝังกลบ เผาทำลาย นำกลับมาใช้ใหม่และเป็นเชื้อเพลิงผลิตพลังงานทดแทนแล้ว ยังมีรายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจโรงไฟฟ้า ที่ดำเนินการภายใต้บริษัทลูก คือ บริษัท เอิร์ธ เท็ค เอนไวรอนเมนท์ จำกัด ซึ่งขณะนี้ดำเนินการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าขนาด 9.4 เมกะวัตต์
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าอีก 2 โครงการ กำลังการผลิต 7 เมกะวัตต์ และ 4 เมกะวัตต์ ตามลำดับ คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดดำเนินการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าได้ภายในปี 62
"บริษัทพร้อมเดินหน้าขยายฐานธุรกิจโรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงกากอุตสาหกรรมอย่างเต็มรูปแบบ หลังจากภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนและมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการรับซื้อไฟฟ้าจากวัตถุดิบกากอุตสาหกรรมออกมาแล้วอย่างชัดเจน ซึ่งถือเป็นผลดีที่ทำให้บริษัทฯสามารถกำหนดทิศทางการขยายธุรกิจอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ประกอบกับบริษัทฯ สามารถพัฒนาเชื้อเพลิงจากกากอุตสาหกรรมจนอยู่ในระดับที่ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการผลิตกระแสไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงประเภทนี้ หลังจากที่ใช้เวลาพัฒนาต่อเนื่องมานานกว่า 2 ปี และประการสำคัญ โรงไฟฟ้าจากกากอุตสาหกรรมโรงแรกของบริษัทฯ ที่ถือเป็นโครงการนำร่องจะเริ่มเชื่อมต่อสายส่งเพื่อจ่ายไฟในเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้" นายสุวัฒน์ กล่าว
นายสุวัฒน์ กล่าวต่อว่า บริษัทพร้อมเร่งขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงกากอุตสาหกรรม โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาเชื้อเพลิงเพื่อรองรับโครงการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งที่ผ่านมาได้พัฒนาการผลิตเชื้อเพลิงอัดแข็งจากกากอุตสาหกรรม (Refuse Derived Fuel Project-RDF) สำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตกระแสไฟฟ้ามาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีกำลังการผลิตเชื้อเพลิงอัดแข็งที่มีคุณสมบัติค่าความร้อนใกล้เคียงกับถ่านหินรวมกัน 2 เฟสถึงวันละ 600 ตัน รองรับโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากกากอุตสาหกรรมของบริษัทฯ กำลังผลิตขนาด 9.4 เมกะวัตต์ ที่นำร่องเป็นโครงการแรกในประเทศไทยได้ และสามารถเพิ่มกำลังการผลิตเชื้อเพลิงอัดแข็งให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นได้ในอนาคต เนื่องจากแต่ละปีจะมีกากอุตสาหกรรมที่ไม่เป็นอันตรายเกิดขึ้นถึงกว่า 30 ล้านตัน ดังนั้น จึงสามารถรองรับโครงการผลิตไฟฟ้าได้เป็นจำนวนมาก และถือเป็นโอกาสดีที่บริษัทฯ จะขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าได้อย่างแข็งแกร่งในระยะยาว ซึ่งจะสนับสนุนรายได้ของบริษัทฯ ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่องไปในทิศทางเดียวกัน