นายณัฐนัย อนันตรัมพร กรรมการผู้จัดการ บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม (ITEL) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 40% ต่อปี จากการผลักดันสัดส่วนของรายได้ประจำให้เพิ่มขึ้นเป็น 70-80% ภายใน 3 ปี (62-64) จากปัจจุบันมีสัดส่วน 50% โดยจะมาจากจากการขยายฐานลูกค้าเช่าใช้โครงข่าย รวมถึงรักษาฐานลูกค้าเดิม
ปัจจุบัน บริษัทมีสัดส่วนลูกค้าเช่าใช้โครงข่ายมาจากกลุ่มผู้ประกอบการด้านโทรคมนาคมเป็นหลักประมาณ 50% คาดว่าในอนาคต จะเพิ่มจำนวนลูกค้าในส่วนของสถาบันการเงิน รัฐวิสาหกิจ และสถานีโทรทัศน์ เป็นต้น ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อรายได้ประจำให้เติบโตเพิ่มขึ้นตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ ส่วนการเติบโตด้านอื่นๆ จะมาจากธุรกิจการติดตั้งโครงข่ายฯ และธุรกิจ Data Center
บริษัทตั้งเป้าส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ธุรกิจให้เช่าโครงข่ายเพิ่มขึ้นมาที่ 15-17% ภายในปี 64 ขึ้นสู่ Top 5 จากปัจจุบันมีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 9-10% โดยปัจจุบันมูลค่าตลาดรวมในประเทศอยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท และตั้งเป้าอัตราการใช้งานโครงข่ายจะเพิ่มขึ้น 70-80% ภายในปี 64 จากปัจจุบันอยู่ที่ 27% และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 40% ในสิ้นปีนี้
นายณัฐดนัย กล่าวว่า บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ในปี 61 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 40% จากปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 2,460 ล้านบาท คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ภายในปีนี้ประมาณ 700 ล้านบาท ขณะเดียวกันอยู่ระหว่างรอเข้าประมูลโครงการศูนย์บริการอินเทอร์เน็ตสาธารณะ (USO Net) เฟส 2 ที่คาดว่าภาครัฐจะเปิดประมูลในเดือน ก.ค.นี้ และรอการเซ็นสัญญารับงานติดตั้ง CCTV ให้กลับกลุ่มลูกค้าตะวันออก มูลค่างาน 80 ล้านบาท คาดว่าจะเซ็นสัญญาได้ในเดือน ก.ค.นี้ โดยสัญญาดังกล่าวจะเป็นสัญญาระยะยาว 3 ปี
บริษัทมองภาพรวมธุรกิจในปี 61 และในอนาคตว่า ธุรกิจ Data Service ของบริษัทมีแนวโน้มที่ดีจากความครอบคลุมของโครงข่ายถึง 75 จังหวัด ทำให้โครงข่ายมีเสถียรภาพมากขึ้น สร้างความพึงพอใจและเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ประกอบกับ การที่บริษัทสามารถพิสูจน์ตนเองจากโครงข่ายที่มีความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุดจนสร้างความน่าเชื่อถือกับลูกค้าได้ ทำให้บริษัทฯมีความได้เปรียบในการ แข่งขันมากขึ้น ดังนั้นรายได้จะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากปริมาณการใช้งานของลูกค้าเช่าวงจร ซึ่งบริษัทเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมและบริษัทเอกชนทั่วไป โดยปัจจุบันได้เพิ่มทีมงานทางด้านการขายและทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญเพื่อรองรับกับโอกาสทางการค้าที่เพิ่มสูงขึ้นและการใช้งานจากประเทศเพื่อนบ้าน
โดยธุรกิจ Data Center คาดว่ารายได้จะเติบโตจากปี 60 เนื่องจากบริษัทได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเข้ามาใช้งานเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันธุรกิจ Data Center มีจำนวน 2 แห่ง โดยแห่งแรกได้สร้างเสร็จและให้บริการเต็มพื้นที่แล้ว มีรายได้ประจำเฉลี่ยปีละ 80 ล้านบาท และ Data Center แห่งที่ 2 ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว คาดหวังจะมีลูกค้าทยอยเข้ามาใช้บริการ 60% ในสิ้นปีนี้ และคาดว่าในปี 62 จะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเต็มพื้นที่ 100% จะทำให้มีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณปีละ 180 ล้านบาท เป็นอีกปัจจัยขับเคลื่อนผลประกอบการของบริษัทให้เติบโตสูงอย่างต่อเนื่องจากปี 60 ธุรกิจการให้บริการพื้นที่ดาต้า เซ็นเตอร์ บริษัทฯ มีรายได้อยู่ที่ 79.56 ล้านบาท
ส่วนโครงการศูนย์บริการอินเทอร์เน็ตสาธารณะ (USO Net) จะทยอยรับรู้รายได้การติดตั้งทั้งหมดภายในปี 61 ซึ่งมีมูลค่าที่จะรับรู้รายได้เข้ามาอยู่ที่ประมาณ 650 ล้านบาท
"คาดผลประกอบการช่วงที่เหลือของปีจะเติบโตต่อเนื่องทุกไตรมาส สนับสนุนเป้าหมายรายได้ทั้งปีที่วางไว้โตไม่ต่ำกว่า 40% หรือมีรายได้แตะ 1,400 ล้านบาท โดยบริษัทให้ความสำคัญกับอัตรากำไรสุทธิที่ดีมากขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ที่วางไว้ อีกทั้งคาดการณ์ว่าจะมีอัตรากำไรขั้นต้นในงานการให้บริการโครงข่ายเพิ่มขึ้นแตะ 40% ได้ภายใน 5 ปี จากปัจจุบันอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 29.50% โดยจะใช้การควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น"นายณัฐนัย กล่าว
นานณัฐนัย กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ ได้ยกเลิกแผนการทำธุรกิจเชื่อมโยงการซื้อขาย ICO ในตลาดรอง (Secondary market) เนื่องจากมองว่ามีความเสี่ยงจาก valuation ที่สูงเกินไป ประกอบกับสถานะของตลาดรองดังกล่าวก็ยังไม่มีความแน่นอน จึงยกเลิกการลงทุนไปก่อน