นายสุรศักดิ์ เอิบสิริสุข กรรมการผู้จัดการ บมจ. สหมิตรถังแก๊ส (SMPC) เปิดเผยถึงผลประกอบการงวดไตรมาส 1/61 มียอดขาย 1,207 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมียอดขาย 972 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 235 ล้านบาท หรือ 24% เนื่องจากในงวดนี้ปริมาณขายเพิ่มสูงขึ้นถึง 16% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการอย่างต่อเนื่องของลูกค้าในแถบเอเชียและแอฟริกา
ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 117 ล้านบาท ลดลง 4 ล้านบาท หรือลดลง 4% จากงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไร 121 ล้านบาท เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบ (เหล็ก) ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทได้มีการปรับราคาขายเพิ่มขึ้นแล้ว แต่ด้วยค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 10% ส่งผลต่ออัตราการทำกำไรลดลง อย่างไรก็ตาม ด้วยยอดขายที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทยังสามารถรักษาผลกำไรสุทธิไว้ได้
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าปริมาณขายจะยังคงโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจะเป็นปัจจัยหลักสนับสนุนกำไรสุทธิให้เติบโตจากความต้องการถังแก๊ส LPG ที่ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในตลาดเอเชียและแอฟริกา โดยเฉพาะบางประเทศในแถบเอเชียใต้ มีการเปลี่ยนการใช้พลังงานเชื้อเพลิงเป็น LPG และตามความต้องการที่สูงขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดีขึ้นซึ่งประเทศเหล่านี้เป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัท
เมื่อพิจารณาคำสั่งซื้อล่วงหน้าในปัจจุบัน ทำให้บริษัทฯมีความเชื่อมั่นว่าปริมาณขาย จะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย SMPC มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตรองรับแล้ว ส่วนแนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าทยอยปรับตัวดีขึ้นจากสถานการณ์ราคาเหล็กที่เริ่มทรงตัว ค่าเงินบาทที่เริ่มอ่อนลง และยอดสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น จะทำให้เกิด economy of scales ช่วยลดต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายอื่นๆลงได้
สำหรับแนวโน้มธุรกิจทั้งปี 61 บริษัทฯ ประเมินยอดขายยังคงเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้เพิ่มขึ้น 15-20% จากปีก่อนที่มียอดขายอยู่ที่ 4,327 ล้านบาท เป็นผลมาจากแนวโน้มความต้องการใช้แก๊ส LPG ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณการใช้ถังบรรจุขยายตัวตามไปด้วย ประกอบกับแนวโน้มขาขึ้นของราคาเหล็กในช่วงที่ผ่านมาหนุนให้บริษัทได้รับคำสั่งซื้อในมือเป็นจำนวนมาก โดยในปี 2561 บริษัทมีแผนขยายกำลังผลิตถังแก๊สเพิ่มขึ้นเป็น 10 ล้านใบ จากปี 60 อยู่ที่ 8.2 ล้านใบ
"อย่างไรก็ตาม คาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงาน จะเริ่มปรับตัวดีขึ้นโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการใช้ถังแก๊ส LPG ในตลาดแอฟริกา และเอเชีย ที่เพิ่มขึ้น ด้านอัตราการใช้กำลังการผลิตในงวดปี 61 คาดว่ายังคงสูงใกล้เคียงกับปี 60 ที่ 90% ประกอบกับแนวโน้มราคาเหล็กที่เริ่มทรงตัว จากก่อนหน้านี้ที่ปรับตัวขึ้นมาก ขณะที่ราคาขายถังแก๊สเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นตามมาได้ทัน และแนวโน้มค่าเงินบาทที่เริ่มอ่อนตัวส่งผลดีต่อบริษัทในฐานะผู้ส่งออก คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะปรับตัวดีขึ้น" นายสุรศักดิ์ กล่าว