นายธีรวัต อมรธาตรี กรรมการผู้จัดการ บมจ.บางกอกชีทเม็ททัล (BM) เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทประจำไตรมาส 1/61บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 9.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.38 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 17.29% เมื่อเทียบกับผลประกอบการของช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 7.98 ล้านบาท
ขณะที่บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 216.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.34 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 7.11% เมื่อเทียบกับผลประกอบการของช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 201.69 ล้านบาท
การเพิ่มขึ้นของทั้งกำไรสุทธิ และรายได้ของบริษัทเป็นผลมาจากการได้รับคำสั่งซื้อสินค้าราง และท่อร้อยสายไฟจากโครงการเดิมที่ต่อเนื่องมาจากปีก่อน ได้แก่ โครงการคอนโดมีเนียม และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เป็นต้น และได้รับงานจากโครงการใหม่ซึ่งเป็นการผลิตตู้สื่อสาร และคำสั่งผลิตเสาสัญญาณโทรคมนาคมจากผู้ให้บริการรายใหญ่ 2 ราย
รวมถึงการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม คือ บริษัท นิตโต้ โคเกียว บีเอ็ม (ประเทศไทย) จำกัด (NBT) ซึ่งชื่อเดิมคือ บริษัท นิตโต้ โคเกียว เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด
นายธีรวัต กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทยังคงเป้ารายได้เติบโต 10-20% จากยอดคำสั่งซื้อสินค้าประเภทต่างๆ ได้แก่ สินค้าราง และท่อร้อยสายไฟที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการต่างๆ สินค้าตู้ไฟฟ้า และตู้สื่อสาร และงานผลิตโลหะเชื่อมประกอบสำหรับเสาสัญญาณโทรคมนาคม การรับงานผลิตแม่พิมพ์สำหรับโมเดลรถเกี่ยวข้าว และโครงรถตัดอ้อย และคำสั่งผลิตชิ้นส่วนโลหะสำหรับเครื่องจักรกลการเกษตรในปริมาณที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นตามความต้องการของภาคเกษตรกรรม
นอกจากนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการลงทุนในบริษัทร่วม NBT ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ NITTO ผู้ผลิต และจัดจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้า และอุปกรณ์เชิงกลจากประเทศญี่ปุ่น ที่จะช่วยเสริมความแข็งแกร่ง และเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจ รวมถึงเพิ่มช่องทางในการสร้างรายได้ในอนาคตได้อีกด้วย
ขณะที่บริษัทยังคงศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายธุรกิจร่วมกับพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มช่องทางการสร้างรายได้ในระยะยาว โดยบริษัทอยู่ระหว่างกระบวนการเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท เอ็ม อี ซี ที จำกัด (MECT) ที่คาดว่าจะดำเนินการเรียบร้อยภายในไตรมาส 2/61
ทั้งนี้ MECT เป็นผู้ให้บริการรับเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้า-สื่อสาร ระบบปรับอากาศ ระบบสุขาภิบาล และระบบป้องกันอัคคีภัย สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกันตามกลุ่มอุตสาหกรรมได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยให้บริษัทฯ ได้รับประโยชน์จากเครือข่ายฐานลูกค้าของ MECT ซึ่งเป็นกลุ่มผู้รับเหมาที่มีความต้องการใช้สินค้าที่บริษัทฯ ผลิต และจำหน่าย เช่น ราง และท่อร้อยสายไฟฟ้า ตู้โลหะ เป็นต้น และยังเป็นการขยายธุรกิจไปยังประเภทธุรกิจใกล้เคียง เพื่อเพิ่มรายได้ของบริษัทฯ รวมถึงการได้รับผลตอบแทนในรูปเงินปันผลจากกำไรสุทธิของ MECT อีกด้วย
ส่วนการขยายโรงงานหลังที่ 5 ยังคงเดินหน้าไปตามแผน โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ในระหว่างสั่งซื้อเครื่องจักร และติดตั้ง รวมถึงติดตั้งไลน์พ่นสีใหม่ และจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ภายในไตรมาส 3/61
"จากผลงานในไตรมาสแรกของปีนี้จะเห็นได้ว่าเราเริ่มได้รับในส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเข้ามา ซึ่งในอนาคตส่วนนี้ก็จะเป็นส่วนสำคัญในการเติบโตของเรา โดยเราเองก็หาโอกาสในการขยายธุรกิจร่วมกับพันธมิตรที่สามารถต่อยอดธุรกิจหลักของเราได้ เพื่อเพิ่มช่องทางการสร้างรายได้ และสร้างการเติบโตที่รวดเร็ว และแข็งแกร่งขึ้น ส่วนในปี 61 เรายังคาดว่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากปริมาณงานในกลุ่มของผู้รับเหมาที่เพิ่มสูงขึ้น ตามโครงการก่อสร้างต่าง ๆ" นายธีรวัต กล่าว