นายทัตซึยะ โคโนชิตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กรุ๊ปลีส (GL) คาดว่า ผลประกอบการในปีนี้จะพลิกกลับมาเป็นกำไร หลังจากปีก่อนมีผลประกอบการขาดทุน 1.82 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทกลับมามีกำไรติดต่อกัน 2 ไตรมาสแล้ว คือ ไตรมาส 4/60 และไตรมาส 1/61 ซึ่งเป็นการพื้นตัวจากไตรมาส 3/60 ที่ขาดทุนอย่างหนัก
"ภายในปีนี้จะทำให้นักลงทุนทุกท่านรู้ว่าเราจะมีกำไรทุกๆ ไตรมาส ไตรมาส 2,3,4 ผมมั่นใจว่าเราจะมีกำไรเพิ่มขึ้น"นายทัตซึยะ กล่าว
นายทัตซึยะ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทจะเพิ่มผลกำไรและเสริมสร้างศักยภาพการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับ 2 ไตรมาสที่ผ่านมาบริษัทมีค่าใช้จ่ายทางกฎหมายค่อนข้างสูง แต่อย่างไรก็ตามปัญหาต่างๆ เหล่านี้กำลังจะดำเนินไปสู่แนวโน้มที่ดีขึ้น และคาดการณ์ว่าค่าใช้จ่ายในช่วงไตรมาสที่เหลือของปีจะลดลง
ขณะที่ผลการดำเนินธุรกิจของบริษัทสามารถเติบโตได้ดีทั้งในไทยและเมียนมา แต่ในกัมพูชายังเติบโตไม่มากนัก เนื่องจากมีการแข่งขันสูง และต้องพิจารณาจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจด้วย
นายทัตซึยะ กล่าวว่า ธุรกิจในเมียนมาคาดว่าปีนี้รายได้จะเติบโตก้าวกระโดดอย่างน้อย 50% โดยเฉพาะจากไมโครไฟแนนซ์ ซึ่งไม่มีปัญหาหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เลย เนื่องจาก 80% ของลูกค้าในเมียนมาเป็นผู้ไม่เคยก่อหนี้มาก่อน และบริษัทปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 30% ต่อปี
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ร่วมกับ G-AMNK ในการปล่อยสินเชื่อรถจักรยานยนต์ ซึ่ง GL มีสัญญา Exclusive กับฮอนด้าที่เข้าไปขยายตลาดเมียนมา ปัจจุบันมียอดขายถึงปีละ 1 แสนคัน หรือมีส่วนแบ่งตลาด 10% ของยอดขายรวมราว 1 ล้านคัน/ปี ซึ่ง GL จะมีรายได้จากค่าธรรมเนียมในการดำเนินการ แต่ไม่ได้บริหารพอร์ตสินเชื่อดังกล่าว
ส่วนตลาดในไทยยังมีการแข่งขันสูง แต่บริษัทได้พยายามสร้างความแตกต่าง โดยใช้กลยุทธ์ "One Stop Solution" สำหรับผู้แทนจำหน่าย และ "Lifecycle Finance" ที่สามารถให้บริการครบวงจร
"ผมคิดว่าในไตรมาส 2 จะมีรายได้โตขึ้นจากไตรมาสแรก และมีกำไรดีกว่าไตรมาส 1 ที่มีค่าใช้จ่ายทางกฎหมายสูงถึง 35 ล้านบาท แต่ไตรมาส 2 จะลดลง โดย ณ สิ้นไตรมาส 1/61 มีพอร์ตสินเชื่อมูลค่าราว 8 พันล้านบาท หลักๆ มาจากไทย 50% และกัมพูชา 35% ...ผมจะไม่ให้เป้าหมายอะไรทั้งนั้น" นายทัตซึยะ กล่าว
นายมุเนะโอะ ทาชิโร่ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ GL กล่าวว่า สำหรับการดำเนินธุรกิจของ กรุ๊ปลีส ในประเทศไทย เรามีทางเลือกมากมายสำหรับตัวแทนจำหน่าย นอกจากการให้สินเชื่อสำหรับรถจักรยานยนต์ใหม่เหมือนบริษัทสินเชื่อส่วนใหญ่แล้ว ยังมีบริการสินเชื่อสำหรับรถจักรยานยนต์มือสอง (Used motorcycles) เพื่อช่วยให้ตัวแทนจำหน่ายสามารถนำรถจักรยานยนต์ของพวกเขามาขายในลานประมูลของบริษัทฯ ตลอดจนดูแลการจัดการด้านการสต็อกสินค้า
สำหรับในส่วนของกลุ่มผู้บริโภค นอกเหนือจากบริการสินเชื่อสำหรับรถจักรยานยนต์ใหม่แล้ว บริษัทยังให้สินเชื่อสำหรับรถจักยานยนต์มือสอง และสินเชื่อแบบมีหลักประกันกับผู้ที่เป็นเจ้าของรถ และรับซื้อรถจักรยานยนต์มือสองด้วย
"บริษัทมีความพยายามอย่างยิ่งที่จะตอบสนองทุกความต้องการของตัวแทนจำหน่ายและผู้บริโภค ซึ่งผลตอบรับจากการปรับกลยุทธ์นี้ส่งผลให้มีแนวโน้มที่เป็นบวกกับบริษัทฯ"นายมุเนะโอะ กล่าว
ทั้งนี้ โครงสร้างรายได้ของ GL มาจากธุรกิจเช่าซื้อ (Hire Puchase) 70% , SME Loan 13% , Micro Finance 5%, ABL (สินเชื่อมีหลักประกัน) 6% และ อื่นๆ 13% ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการจัดการปล่อยสินเชื่อในเมียนมา เป็นต้น
ขณะที่ธุรกิจในอินโดนีเซีย นายทัตซึยะ กล่าวว่า บริษัทจะเริ่มปล่อยสินเชื่อเองหลังจากที่มีปัญหาและมีคดีความกับ J Trust Asia Pte., Ltd. ซึ่งเดิมเป็นผู้ดำเนินการปล่อยสินเชื่อ โดยธุรกิจในอินโดนีเซียยังดำเนินต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อรายย่อยประเภทกลุ่ม (Group Loan)
นายทัตซียะ ย้ำกว่า ปัจจุบันบริษัทไม่มีภาระหนี้สินใดๆ และบริษัทมีสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินธุรกิจถึงปีหน้า โดยปัจจุบันมีเงินสดในมือราว 3 พันล้านบาท
ส่วนความคืบหน้าของกระบวนการทางกฎหมาย ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 เม.ย.61 บริษัทยื่นฟ้องกลับ J Trust Asia Pte., Ltd. เป็นคดีอาญาต่อศาลล้มละลายกลางในฐานความผิดร่วมกันยื่นคำร้องขอต่อศาลให้มีการฟื้นฟูกิจการอันเป็นเท็จในสาระสำคัญ รวมถึงได้อ้างว่า กรุ๊ปลีส ต้องด้วยข้อสันนิษฐานที่จะสามารถยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการบริษัทฯ ซึ่งเป็นเท็จ ทำให้บริษัทฯ เสื่อมเสียชื่อเสียง ขาดความน่าเชื่อถือในกลุ่มนักลงทุน และส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของบริษัทฯ
ทั้งนี้ ศาลล้มละลายกลางได้รับฟ้องและกำหนดวันนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 25 มิ.ย.61
และ บริษัทฯ ยังได้ยื่นฟ้อง J Trust Asia Pte., Ltd. จำกัดเป็นจำเลยต่อศาลแพ่ง เมื่อวันที่ 30 เม.ย.61 จำนวนทุนทรัพย์ 880 ล้านบาท ในข้อหาละเมิด เรียกค่าเสียหาย และค่าสินไหมทดแทน โดยกำหนดวันนัดพิจารณาครั้งแรก (นัดชี้สองสถาน) ในวันที่ 20 ส.ค.61 ขณะที่ คดีที่ J Trust Asia Pte., Ltd. ฟ้องศาลแพ่งต่อ GL ศาลนัด 4 ก.ค.61
นายทัตซิยะ กล่าวว่า การที่ศาลล้มละลายกลางยกคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของ J Trust Asia Pte., Ltd. นั้น ถือว่าเป็นชัยชนะก้าวแรกของ GL และการที่ศาลที่สิงคโปร์มีคำสั่งยกเลิกคำร้องคุ้มครองชั่วคราวต่อ Group Lease Holdings Pte.Ltd (GLH) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ที่เป็นบริษัทลูกของ GL ให้สามารถดำเนินธุรกรรมทางการเงินได้ปกติ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 23 ก.พ.61 เป็นต้นไป ก็เป็นชัยชนะอีกครั้ง
ดังนั้น ในมุมมองผู้บริหาร มั่นใจในการสู้คดี และข้อกังวลค่อยๆ ลดลงแล้ว อย่างไรก็ดี คาดว่าคดีความต้องใช้เวลาพิจารณาเป็นระยะเวลานาน คงยังไม่ได้ข้อสรุปในปีนี้หรือปีหน้า แต่เราก็เปิดให้ J Trust Asia Pte., Ltd. เจรจาได้ทุกช่องทาง
ตัวแทนที่ปรึกษากฎหมายของ GL คาดว่า ในปีนี้ศาลจะยังไม่นัดสืบพยานทั้งคดีแพ่งและอาญา ขณะที่หุ้นกู้แปลงสภาพที่ J Trust Asia Pte., Ltd.ถืออยู่ 180 ล้านเหรียญ เหลืออายุ 3 ปี หากคดีความยังไม่จบ GL ก็ยังไม่สามารถชำระหนี้คืนได้
ส่วนประเด็นที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรพัย์ (ก.ล.ต.) กล่าวโทษ นายมิทซึจิ โคโนชิตะ ผู้บริหารบริษัท ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กรณีทุจริตเบียดบังทรัพย์สินของบริษัทฯ และทำบัญชีไม่ถูกต้อง ส่งผลให้ไม่สามารถดำรงตำแหน่งกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนใดๆ ตลอดระยะเวลาที่ถูกดำเนินคดีนั้น ไม่เกี่ยวข้องกับ GL