นางสาวธิดา แก้วบุตตา กรรมการ บมจ.ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD) เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/61 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิที่ยังไม่ได้แบ่งปันส่วนของผู้เป็นเจ้าของของบริษัทใหญ่และส่วนที่เป็นเจ้าของส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุม 639.83 ล้านบาท ลดลง 27.43% จากไตรมาส 1/60 ที่มีกำไรสุทธิ 881.62 ล้านบาท เป็นผลจากการปรับลดลงทางบัญชี แต่ผลการดำเนินงานจริงยังมีการเติบโตทั้งกำไรและรายได้
ประเด็นหลักที่ทำให้ภาพรวมผลประกอบการไตรมาส 1/61 ลดลงเมื่อเปรียบกับงวดเดียวกันของปี 60 เนื่องจากสิ้นงวดบัญชี 31 มี.ค.ของปีที่ผ่านมา บริษัทมีการรับรู้รายการพิเศษจากการปรับปรุงมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ บง.กรุงเทพธนาธร (BFIT) และมีการจัดประเภทเงินลงทุนจากเงินลงทุนเผื่อขายเป็นเงินลงทุนในบริษัทย่อยตามมาตรฐานบัญชี ทำให้เกิดกำไรจากการเปลี่ยนประเภทเงินลงทุนจำนวน 102.06 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงรายได้อื่นๆในส่วนที่เกิดจากการปรับปรุงมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์สุทธิที่ได้มาที่เกี่ยวข้องกับ BFIT อีกจำนวน 185.65 ล้านบาท จากเดิมที่บันทึกต้องอยู่ในรายได้อื่นๆ ของงบไตรมาส 4/60 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.60
นางสาวธิดา กล่าวว่า การปรับปรุงงบการเงินดังกล่าวและกำไรพิเศษที่ได้จากการจัดประเภทเงินลงทุนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนใน BFIT ทำให้รายได้รวมไตรมาส 1/60 ฉบับปรับปรุงอยู่ที่ 1,871.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงบก่อนปรับปรุง 185.65 ล้านบาท และมีกำไรพิเศษดังกล่าวอีก 102.06 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 287.71 ล้านบาท ทำให้เมื่อเทียบกับภาพรวมผลประกอบการไตรมาส 1/61 จึงมีผลประกอบการปรับลดลง
อย่างไรก็ตาม ในปี 61 นี้บริษัทจะไม่มีการปรับมูลค่าเงินลงทุนแต่อย่างใด
"หากไม่รวมรายการพิเศษดังกล่าวในไตรมาส 1/61 บริษัทจะมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 160.33 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10.12% และมั่นใจว่าภาพรวมผลประกอบการปีนี้จะยังเติบโตต่อเนื่อง และไม่มีการปรับมูลค่าเงินลงทุนเพิ่มเติมอีก"นางสาวธิดา กล่าว
สำหรับประเด็นความกังวลเกี่ยวกับตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่เพิ่มขึ้นนั้น นางสาวธิดา กล่าวว่า เป็น NPL ที่เกิดจากลูกหนี้เอสเอ็มอีกรายหนึ่งที่จ่ายล่าช้ากว่ากำหนด ซึ่งปัจจุบันลูกหนี้รายดังกล่าวก็ได้ทยอยจ่ายยอดค้างมาแล้ว ประกอบกับมูลค่าหลักประกันของลูกหนี้รายดังกล่าวที่นำมาวางเป็นหลักประกันไว้มีมูลค่ามากกว่ามูลหนี้