นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.อนันดา ดีเวลอปเม้นท์ (ANAN) เปิดเผยว่า ทิศทางยอดโอนในช่วงไตรมาส 2/61 จะดีกว่าช่วงไตรมาส 1/61 ที่สามารถทำได้ 3,840 ล้านบาท หลังจากที่บริษัทฯได้มีการพูดคุยกับหลายๆฝ่ายแล้ว ซึ่งบริษัทฯได้ทำตามกฎถูกต้องอยู่แล้ว บริษัทฯจึงหวังว่าจะสามารถเริ่มโอนโครงการแอชตัน อโศก ได้ทันภายในไตรมาส 2/61 นี้
"เราได้เข้าพูดคุยกับหลายๆ ฝ่ายเกี่ยวกับโครงการ แอชตัน อโศก หลังจากที่มีกรณีคดีฟ้องร้องต่อศาลปกครองกลาง ซึ่งก่อนที่จะทำโครงการนี้เราได้ปิดความเสี่ยงหลายๆ อย่าง และปิดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นไว้หมดแล้ว พร้อมกับการขออนุมัติรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) และยื่นขออนุญาตก่อสร้างเรียบร้อยแล้ว จึงเชื่อว่าจะเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าโครงการดังกล่าวทำถูกต้อง"นายชานนท์ กล่าว
อนึ่ง โครงการแอชตัน อโศก เป็นคอนโดมิเนียมสูง 50 ชั้น จำนวนห้อง 783 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 6,000 ล้านบาท ปิดการขายแล้วทั้ง 100% ซึ่งสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนและชาวบ้านยื่นฟ้อง กทม.และ รฟม.รวมทั้งผู้เกี่ยวข้องว่าละเลยต่อหน้าที่ที่ปล่อยให้ก่อสร้างอาคารชุดพักอาศัยขนาดใหญ่พิเศษ ละเมิดกฎหมาย สิทธิชุมชนและสิทธิส่วนบุคคลโดยรอบพื้นที่โครงการ
นายชานนท์ กล่าวอีกว่า แนวโน้มของผลประกอบการปีนี้ยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้ที่ 3.8 หมื่นล้านบาท โดยจะมีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอนได้ในปีนี้ 9 โครงการ และบริษัทยังคงเป้าหมายที่จะมียอดขาย 3.51 หมื่นล้านบาท ด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่ 16 โครงการ รวมมูลค่า 3.51 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ในช่วงสิ้นไตรมาส 1/61 บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่า 53,600 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 27,600 ล้านบาท
นายชานนท์ กล่าวว่า การขยายโครงการในระยะต่อไปจะยังเน้นการขยายตัวไปตามแนวรถไฟฟ้าต่างๆ โดยมองว่าแนวรถไฟฟ้าที่มีศักยภาพคือรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ช่วงสมุทรปราการ-บางปู ที่มีทั้งสถานที่ตากอากาศบางปู หรือจะเป็นโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นจุดที่หน้าสนใจของการขยายตัวของชุมชนเมืองโดยบริษัทฯจะไม่เน้นการซื้อที่ดินเพื่อรอลงทุนมากนัก แต่จะเน้นการซื้อที่ดินที่มีศักยภาพและลงทุนได้ในระยะเวลาไม่นานเป็นหลัก
สำหรับการพัฒนาที่อยู่อาศัยในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งทางบริษัทก็ต้องปรับตัวให้เหมาะสมกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ตั้งแต่เริ่มต้นก่อสร้าง การบริการหลังการขาย และ สิ่งอำนวยความสะดวกสบายสำหรับการใช้ชีวิตประจำวันภายในบ้านด้านต่างๆ เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าและเพิ่มคุณค่าให้กับโครงการ ผ่านแนวคิดในการปรับรูปแบบการดำเนินชีวิตสู่ UrbanTech เพื่อเตรียมพร้อมรับมือสู่ความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและก้าวกระโดด
ขณะที่ความต้องการที่อยู่อาศัยก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย อาทิ ต้องการเข้าอาศัยอยู่จริง 5-10 วันต่อ 1 เดือน หรืออาจจะเป็น 3-5 เดือน ต่อ 1 ปี บริษัทจึงได้ร่วมมือกับ ดิ แอสคอทท์ (Ascott) เพื่อเปิดตัวโครงการเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ 4 โครงการ ที่ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพสูงใจกลางกรุงเทพฯ ที่มีมูลค่าโครงการรวมกว่า 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบนถนนพระราม 9 สาทร ทองหล่อ และสุขุมวิท ซอย 8 โดยจะเริ่มรับรู้รายได้จากธุรกิจเซอร์วิส อพาร์ตเม้นท์ ในไตรมาส 1/63 ซึ่งจะเป็นกระจายความเสี่ยงและเพิ่มสัดส่วนรายได้ที่มากจากรายได้ประจำมากขึ้น