บมจ.ห้องเย็นเอเชี่ยน ซีฟู้ด (ASIAN) ร่วมทุนบริษัท อินเตอร์ ฟาร์มา จำกัด จัดตั้ง บริษัท อินเตอร์ เพ็ททรินา จำกัด เพื่อรุกธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ เอง โดยมี บริษัท เอเชี่ยน กรุ๊ป เซอร์วิส จำกัด (บริษัทย่อยของ ASIAN ที่บริษัทฯ ถือหุ้น 99.99%) ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวสัดส่วน 40% ส่วนอินเตอร์ ฟาร์มา ถือหุ้น 60%
พร้อมเปิดตัวแบรนด์อาหารสุนัขและแมวระดับพรีเมี่ยมในชื่อ "MARIA" เตรียมบุกตลาดขึ้นแท่นผู้นำอาหารสุนัขและแมวแบบพรีเมี่ยมภายใน 3 ปีข้างหน้า โดยตั้งเป้ายอดขาย "MARIA" ในช่วงเดือน มิ.ย.-ธ.ค.61 ราว 40 ล้านบาท หลังจากที่จะเปิดตัวครั้งแรกที่งาน PET EXPO THAILAND 2018 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 พ.ค.-3 มิ.ย.นี้ เพื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำอาหารสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมี่ยมในประเทศ
สำหรับตลาดในประเทศไทย บริษัทมองเห็นโอกาสจากภาพรวมของจำนวนสัตว์เลี้ยงที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปี 60 ภาพรวมของธุรกิจสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยมีมูลค่าเกือบ 3 หมื่นล้านบาท โดยตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดถึง 45% หรือมีมูลค่าราว 1.3 หมื่นล้านบาท และมีผู้ผลิตรายใหญ่น้อยราย บริษัทจึงมองว่าเป็นโอกาสของในการรุกตลาดดังกล่าว
นอกจากนั้น บริษัทยังเชื่อว่ามีโอกาสที่จะต่อยอดธุรกิจร่วมกับ อินเตอร์ ฟาร์มา ได้อีกในอนาคต โดยเฉพาะการขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ อาทิ CLMV จีน และยุโรป โดยตั้งเป้ายอดขายจากการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงในปีนี้ขึ้นไปแตะระดับที่ 3,200 ล้านบาท จาก 2,700 ล้านบาทในปี 60
นายสมศักดิ์ อมรรัตนชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ ASIAN กล่าวว่า บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถดำเนินการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนดังกล่าวได้ภายในเดือนมิ.ย.61 ซึ่งจะมีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 4 ล้านบาท โดยหากจัดตั้งแล้วเสร็จน่าจะสามารถบันทึกเข้ามาเป็นกำไรสุทธิในบริษัทย่อยฯ ได้ทันที
ทั้งนี้ แผนการดำเนินงานของบริษัท อินเตอร์ เพ็ททรินา จำกัด จะมุ่นเน้นการจำหน่ายผลิตภัณฑ์แบรนด์ MARIA ในประเทศไทย และ CLMV เป็นหลัก โดยปีนี้ตั้งเป้ามียอดขายในประเทศ 40 ล้านบาท และในปี 62 จะมียอดขายเติบโตแตะ 100 ล้านบาท ส่วนการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน และยุโรปนั้น ทางบริษัทฯ จะเป็นผู้ดำเนินการ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนของการขยายไปยังตลาดต่างประเทศดังกล่าวได้ในปี 62 เป็นต้นไป
ด้านนายทรงวุฒิ ศักดิ์ชลาธร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์ ฟาร์มา จำกัด (Interpharma) และ บริษัท อินเตอร์ เพ็ททรินา จำกัด กล่าวว่า อินเตอร์ ฟาร์มา ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านความงามและชะลอวัยด้วยโภชนบำบัด และเวชสำอางในคน รวมทั้งเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมอาหารเสริม แชมพู และผลิตภัณฑ์สุขภาพสำหรับสัตว์เลี้ยง ภายใต้บริษัท อินเตอร์ เวทต้า จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ เพื่อรองรับการขยายธุรกิจที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงจับมือกับ ASAIN รุกตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศ ผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ซึ่งได้แก่ โรงพยาบาลและคลินิก สัตว์เลี้ยง เพ็ทช็อป และช่องทางโมเดิร์นเทรดทั่วประเทศ
การดำเนินการครั้งนี้นับเป็นก้าวแรกในการรุกตลาดร่วมกัน ภายใต้แบรนด์ "MARIA" โดยใช้ความเชี่ยวชาญของ อินเตอร์ ฟาร์มา และนวัตกรรมด้านโภชนบำบัดสำหรับสุขภาพสัตว์เลี้ยงของ อินเตอร์ เวทต้า
"เรามั่นใจว่า ผลิตภัณฑ์ "MARIA" จะตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรักสัตว์เลี้ยง ที่มองสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกสำคัญในครอบครัว ที่ต้องได้รับความใส่ใจเรื่องสุขภาพ และความปลอดภัยเป็นพิเศษ เพื่อให้สัตว์เลี้ยงที่รักมีชีวิตที่ยืนยาว อยู่กับเจ้าของได้นานๆ ซึ่งผลิตภัณฑ์ MARIA ถูกพัฒนาโดยสัตวแพทย์และนักโภชนาการ บน concept "Authentic Pet Food" ซึ่ง มีลักษณะที่สำคัญ คือ ผลิตจากเนื้อจริง (Real Meat) เกรดเดียวกับที่ใช้ผลิตอาหารคน ผ่านการทดสอบค่าการย่อยได้ของโปรตีน มากกว่า 90% (High digestibility) ไม่มีการใช้วัตถุกันเสีย (Preservative Free) มี Prebiotic ที่จะช่วยดูแลสุขภาพของระบบย่อยสารอาหาร เสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ทั้งยังปราศจากส่วนผสมจากแป้งจากข้าวโพด ข้าวสาลี ถั่วเหลือง (Grain-Free) เหมาะสำหรับ สุนัขและแมว ที่แพ้อาหารประเภทธัญพืช และยังมีการทดสอบ Palatability test โดยสัตวแพทย์ จึงมั่นใจได้ว่า MARIA มีความน่ากินและมีรสชาติที่สุนัขและแมวชื่นชอบ"
นายทรงวุฒิ กล่าวอีกว่า บริษัทฯมีแผนนำบริษัท อินเตอร์ ฟาร์มา จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในปี 62 โดยเบื้องต้นบริษัทฯ มีแผนที่จะเข้าระดมทุน เพื่อขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศเพิ่มเติม โดยตั้งเป้าหมายจะมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศและในประเทศ เป็น 50:50 ใน 5 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศราว 10% และในประเทศ 90%
บริษัทฯ มีรายได้ในปี 60 อยู่ที่ 300 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 35 ล้านบาท โดยมีการเติบโตต่อเนื่องในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา ขณะที่มีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 65 ล้านบาท
นายสมศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ ยังคงมองโอกาสการเข้าร่วมลงทุน หรือการเข้าซื้อกิจการทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ในธุรกิจที่สามารถต่อยอดธุรกิจในเครือที่มีอยู่ และต้องเป็นธุรกิจที่เป็นเจ้าของแบรนด์เองด้วย ซึ่งบริษัทฯ ก็ถือว่ามีแหล่งเงินลงทุนเพียงพอหากมีการลงทุนดัวกล่าวเกิดขึ้นในอนาคต จากปัจจุบันที่มีหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ในระดับต่ำที่ 1.4 เท่า ประกอบกับยังมองการใช้เครื่องมือทางการเงินอื่นๆ อีก เช่น การเพิ่มทุน เป็นต้น
สำหรับแผนการดำเนินงาน บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายรายได้ปี 63 จะเติบโตแตะ 1.5 หมื่นล้านบาท และในปีนี้บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายรายได้เติบโตไว้เช่นเดิมที่ 1.12 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 9.88 พันล้านบาท เป็นไปตามยอดขายจากการส่งออกที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้มาจากการส่งออกเป็นหลัก ประมาณ 72-73% ส่วนที่เหลือจะมาจากในประเทศ
ขณะที่งบลงทุน 3 ปีนี้ (ปี 61-63) วางไว้ที่เกือบ 1 พันล้านบาท แบ่งเป็นการใช้ลงทุนปรับปรุงระบบ Auto machine ปีละ 100 ล้านบาท, การสร้างแวร์เฮาส์ เพื่อรองรับปริมาณการจัดเก็บสินค้าที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.3 หมื่นพาเลท จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.2 หมื่นพาเลท ประมาณ 230 ล้านบาท และการเข้าร่วมลงทุน และการซื้อกิจการที่จะเข้ามาต่อยอดในอนาคต คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 200-400 ล้านบาท
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/61 คาดว่าจะเติบโตดีกว่าไตรมาส 1/61 เนื่องจากได้รับผลดีจากค่าเงินบาทที่ปรับตัวอ่อนค่าลง และจะเริ่มดำเนินการผลิตในส่วนของกำลังการผลิตใหม่ของ PET Food ในช่วงปลายไตรมาส 2/61 นี้ ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อไปยังไตรมาสที่เหลือของปีนี้ด้วย