นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บมจ.เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ (JSP) เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างทางการเงินของธุรกิจ หลังจากที่มีผู้ถือหุ้นใหม่ คือ นายลิขิต ลือสกุลกิจไพศาล เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โดยบริษัทจะเสริมสภาพคล่องให้เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่เริ่มตึงตัว ด้วยการลดต้นทุนทางการเงินลงและทยอยขายสินทรัพย์ที่เป็นที่ดินเปล่าออกไป เพื่อทำให้บริษัทมีสภาพคล่องกลับมาและมีค่าใช้จ่ายลดลง
บริษัทจะทยอยขายสินทรัพย์เป็นที่ดินเปล่าทั้งหมด 13 แปลง ซึ่งมีที่ดินแปลงใหญ่ คือ ที่ดินบางเสร่ จ.ชลบุรี เนื้อที่ 181 ไร่ จะแบ่งออกเป็น 10 แปลง ซึ่งปัจจุบันมีผู้สนใจซื้อที่ดินดังกล่าวแล้วส่วนหนึ่ง และเซ็นสัญญาการซื้อขายในปลายเดือน พ.ค.นี้ เนื้อที่ 11 ไร่ มูลค่า 343 ล้านบาท ทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ บริษัทคาดว่าจะได้กำไรจากการขายที่ดินดังกล่าวมากกว่า 100 ล้านบาท ช่วยเสริมสภาพคล่องในช่วงครึ่งปีหลังได้ และทำให้การลงทุนพัฒนาโครงการต่างๆสามารถดำเนินการได้ตามแผน
ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนปรับเงินกู้ระยะสั้นให้เป็นระยะยาว เพื่อทำให้บริษัทมีสภาพคล่องมากขึ้น โดยเฉพาะด้วยการออกหุ้นกู้ให้มีอายุยาวขึ้น ซึ่งในปีนี้บริษัทจะออกหุ้นกู้ชุดใหม่ในช่วงปลายไตรมาส 4/61 มูลค่า 1 พันล้านบาท อายุ 2-3 ปี เพื่อมาทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดอายุ 890 ล้านบาท อีกทั้งบริษัทคาดว่าในปี 62 จะออกหุ้นกู้ที่มีอายุยาวขั้นเพิ่มอีกเพื่อรองรับการลงทุน โดยบริษัทได้รับอนุมัติวงเงินออกหุ้นกู้จากที่ประชุมผู้ถือหุ้น 3 พันล้านบาท
ด้านการพัฒนาโครงการจะเน้นไปที่การพัฒนาโครงการแนวราบเป็นหลัก เพราะสามารถสร้างรายได้กลับมาได้เร็วกว่าคอนโดมิเนียม ทำให้บริษัทมีเงินรองรับการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง โดยจะเริ่มจากการพัฒนาโครงการระดับกลางราคา 4-6 ล้านบาทมากขึ้น จากเดิมเน้นระดับราคา 2-5 ล้านบาท เพื่อเสริมให้มีมูลค่าในการขายเพิ่มขึ้น ผลักดันผลการดำเนินงานให้เติบโตได้ พร้อมกับการปรับราคาขายโครงการเพิ่มขึ้น 5-10% ในปีนี้
นายไพโรจน์ กล่าวว่า การปรับแผนการดำเนินงานของบริษัททั้งการเสริมสภาพคล่อง การลดต้นทุนต่างๆ การขายสินทรัพย์ที่ไม่สร้างรายได้ออกไปการทยอยปรับระยะเวลาของเงินกู้ให้ยาวขึ้น การขยับขึ้นไปพัฒนาโครงการที่มีระดับราคสูงขึ้น และการปรับราคาขายขึ้น คาดว่าจะส่งผลให้กำไรสุทธิในปีนี้จะเพิ่มขึ้นได้ราว 10% จากปีก่อน
ส่วนการโอนโครงการยังมีอย่างต่อเนื่อง โดยที่บริษัทตั้งเป้ารายได้จาการขายอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้อยู่ที่ 4.7 พันล้านบาท จากเป้ารายได้รวม 5 พันล้านบาท หรือเติบโต 15% จากปีก่อน ส่วนรายได้อีก 300 ล้านบาทจะมาจากรายได้ของธุรกิจให้เช่าเชิงพาณิชย์ โดยครึ่งปีแรกคาดว่าจะมีรายได้ราว 2 พันล้านบาท หลังจากไตรมาส 1/61 ทำรายได้ 1.04 พันล้านบาท ซึ่งจะมาจากการทยอยระบายสต๊อกพร้อมขายที่มีอยู่มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท และทยอยรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ที่มีอยู่ราว 2 พันล้านบาทภายในปีนี้ทั้งหมด
ในด้านยอดขายในปีนี้บริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 6.8 พันล้านบาท ปัจจุบันทำได้แล้ว 2.8 พันล้านบาท พร้อมกับวางแผนเปิดโครงการใหม่ในปีนี้เป็นโครงการแนวราบทั้งหมด 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2.6 พันล้านบาท แบ่งเป็น โครงการที่พัฒนาใหม่ 4 โครงการ มูลค่า 2 พันล้านบาท และโครงการแนวราบส่วนต่อขยายจากโครงการเดิม 4 โครงการ มูลค่า 600 ล้านบาท "การลงทุนต่างๆในปีนี้ อย่างการซื้อที่ดินก็คงไม่มี และยังไม่ได่ตั้งงบไว้ เพราะตอนนี้อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างทางการเงิน พร้อมกับทำแผนการดำเนินงานใหม่ ซึ่งใช้ระยะเวลาประมาณ 3 เดือน ซึ่งเราต้องมีการปรับสิ่งต่างๆที่ในอดีตเคยทำมาแล้วพบปัญหาค่อนข้างมาก ก็ต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหาสักระยะหนึ่ง"นายไพโรจน์ กล่าว