นายจิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บมจ.แสนสิริ (SIRI) เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้บริษัทคาดว่าจะได้ข้อสรุปการเข้าลงทุนในกองทุนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีของกลุ่มสตาร์ทอัพอย่างน้อย 1 กองทุน โดยเป็นการลงทุนผ่านกองทุนเป็นครั้งแรกของบริษัท หลังจากในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีการลงทุนผ่านสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการอยู่อาศัยไปแล้ว 3-4 สตาร์ทอัพ โดยที่การลงทุนผ่านกองทุนจะทำให้บริษัทรู้จักสตาร์ทอัพต่างๆได้มากขึ้น
ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณากองทุนทั้งที่อยู่ไนประเทศไทยและต่างประเทศ มูลค่าการลงทุนคาดว่าจะอยู่ที่ 1-5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มาจากเงินลงทุนของบริษัทที่ตั้งไว้ 1.5 พันล้านบาทในช่วง 3 ปี (ปี 61-63) เบื้องต้นบริษัทสนใจเข้าลงทุนกองทุนในประเทศ คือ 500 TukTuks แต่จะต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาอีกครั้ง
นโยบายการลงทุนของบริษัทจะพิจารณากองทุนที่มีความเกี่ยวข้องกับการพัฒนา 4 นวัตกรรมที่ช่วยส่งเสริมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ พรอพเทค (PropTech) หรือการส่งเสริมด้านการซื้อขายแนวใหม่ การบริหารจัดการโนว์ฮาวของอสังหาฯ ที่จะครอบคลุมและตอบโจทย์ผู้บริโภคได้หลากหลายมากขึ้น, ลีฟวิ่ง เทค (LivingTech) ซึ่งเป็นนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยใหม่ๆ มีเป้าหมายเพื่อเติมเต็มประสบการณ์ในการใช้ชีวิตของลูกบ้าน เช่น การเพิ่มความสะดวกสบาย, ความบันเทิง, ความปลอดภัย และยังมีเป้าหมายลดค่าใช้จ่าย ผ่านสตาร์ทอัพที่ สิริ เวนเจอร์ส ลงทุนไปแล้ว เช่น Appysphere ซึ่งเชี่ยวชาญด้านซอฟต์แวร์การพัฒนาโฮม ออโตเมชัน (Home Automation) หรือเทคเมติกส์ (Techmatics) ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพที่พัฒนาหุ่นยนต์แสนดีที่เปิดตัวให้บริการส่งของให้กับลูกค้าในโครงการไปเมื่อปีก่อน
รวมถุงนวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิต และสุขภาพองค์รวมของลูกบ้าน (Health & Wellness Tech) และนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีด้านการออกแบบ ก่อสร้าง ควบคุมคุณภาพ รวมไปถึงวัสดุในการก่อสร้างใหม่ๆ (Construction Tech) เพื่อให้โครงการต่างๆ ของแสนสิริที่จะพัฒนาขึ้นมา สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัลได้อย่างตรงความต้องกาน และยังสามารถช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานโดยรวมอีกทางหนึ่ง โดยปัจจุบันบริษัทยังไม่มีการลงทุนด้านนวัตกรรม Construction Tech ซึ่งคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังนี้การลงทุนผ่านกองทุนจะเข้ามาช่วยเสริมด้านนวัตกรรม Construction Tech เข้ามาเสริมให้ครบทั้ง 4 นวัตกรรม
"การลงทุนในสตาร์ทอัพ เราจะให้ความสำคัญกับสตาร์ทอัพที่มีนวัตกรรมที่สอดคล้องกับนโยบายของแสนสิริทั้ง 4 ด้าน และเป็นสตาร์ทอัพที่สร้างนวัตกรรมออกมาที่สามารถผลักดันไปใน Global สามารถนำไปใช้งานได้ในหลากหลายประเทศได้ อย่างเช่น สตาร์ทอัพในอเมริกา อิสราเอล และสิงคโปร์ ที่สร้างนวัตกรรมออกมาใช้ได้ในระดับ Global แต่ในเรื่องผลตอบแทนตรงนี้เราก็ไม่ได้คาดหวังมาก แต่จะไม่ลงทุนในสิ่งที่เรามองว่าขาดทุนแน่นอน สิ่งสำคัญของการลงทุน คือ การที่จะนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆมาใช้กับโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริ เพื่อส่งเสริมให้คุณภาพชีวิตของลูกบ้านแสนสิริดีขึ้น ส่วนเงินทุนในปัจจุบันที่ตั้งไว้ 3 ปี 1.5 พันล้านบาท เราใช้ไปนิดหน่อยแล้ว ก็ไม่ได้ตั้งว่าจะใช้ปีละเท่าไร แล้วแต่โอกาสกับสิ่งที่เราคิดว่าน่าสนใจลงทุนมากกว่า"นายจิรพัฒน์ กล่าว
สำหรับการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆที่บริษัทลงทุนไปแล้วมาใช้ในโครงการที่อยู่อาศัยของ SIRI ในปีนี้นั้น เบื้องต้นจะมีฟาร์มเชลฟ์ (Farmshelf) ซึ่งเป็นนวัตกรรมการเพาะปลูกแบบอัตโนมัติที่ช่วยให้ทุกคนสามารถปลูกผักเพื่อการบริโภคได้ง่ายดายภายในบ้านหรือที่ทำงาน โดยอยู่ระหว่างการปรับรูปแบบของตู้เพาะปลูกให้เข้ากับภาวะอากาศของประเทศไทยและเข้ากับรูปแบบของที่อยู่อาศัยที่จะนำไปใช้ ขณะนี้มีที่อยู่อาศัยของ SIRI ที่จะนำนวัตกรรมของ Farmshelf ไปใช้เบื้องต้น 10 โครงการทั้งโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียมในช่วงไตรมาส 3/61
และนวัตกรรม Wind Turbine กังหันลมผลิตกระแสไฟฟ้าในที่พักอาศัยบนหลังคา (Wind Farm) ที่บริษัทเข้าลงทุนใน Semtive ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาทำเลในโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริในการติดตั้งกังหันลมที่เหมาะสม ซึ่งคาดว่าจะเริ่มติดตั้งได้ในช่วงไตรมาส 3/61 ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน และส่งเสริมให้เกิดการแบ่งปันการใช้พลังงานไฟฟ้าร่วมกันในชุมชน
นายจิรพัฒน์ กล่าวอีกว่า บริษัทได้เปิดเวทีเฟ้นหาสตาร์ทอัพด้าน Prop Tech เป็นครั้งแรก โดยจะเปิดรับสมัครทีมสตาร์ทอัพที่จะเข้าร่วม SIRI VENTURES Global Connection Platform บนเว็บไซต์ www.siriventurespitching.com ไปจนถึงวันที่ 18 มิ.ย.61 โดยบริษัทจะทำการคัดเลือกเหลือ 20 ทีมสตาร์ทอัพสุดท้ายที่มีศักยภาพเพื่อนำเสนอแผนธุรกิจในงาน TechSauce Global Summit 2018 ระหว่างวันที่ 22-23 มิ.ย. 61 โดยบริษัทตั้งเป้าหมายสร้างเครือข่ายกับผู้พัฒนานวัตกรรมใหม่ด้าน Prop Tech อย่างน้อย 200 รายภายในปี 63