นายยอร์ก ไอร์เล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินกลุ่มบริษัท บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) เปิดเผยว่า บริษัทฯยังคงมั่นใจยอดขายปีนี้ที่เติบโต 5% แม้ว่าไตรมาส 1/61 ยอดขายจะลดลง 5.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยยอดขายที่ลดลงนั้นเป็นผลมาจากการปรับราคาสินค้าเพื่อสะท้อนภาวะวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลง และค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐกว่า 10.2% แต่อย่างไรก็ตามในไตรมาส 2/61 คาดว่ายอดขายจะเติบโตได้ 3-6% หลังจากราคาวัตถุดิบทูน่า และกุ้ง เข้าสู่ภาวะที่มีเสถียรภาพมากขึ้นแล้ว ประกอบกับการเจรจาการเพิ่มราคาสินค้าสำหรับตลาดในยุโรปและสหรัฐฯจะเห็นผลชัดเจนในไตรมาส 2/61
"ภาพรวมทุก ๆ อย่างเริ่มปรับตัวดีขึ้น หลังจากที่ช่วงไตรมาส 1/61 อยู่ในช่วงของการปรับตัว และจะเริ่มเห็นผลในช่วงไตรมาส 2/61 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเจรจาด้านราคาวัตถุดิบ และการเจรจาเพิ่มราคาสินค้าให้สะท้อนกับราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย ขณะที่ตลาดในประเทศไทย และประเทศเกิดใหม่ รวมไปถึงตลาดจีน คาดว่าจะเติบโตได้ค่อนข้างดี"นายยอร์ก กล่าว
ทั้งนี้ ในปี 61 บริษัทฯตั้งเป้ารักษาอัตรากำไรสุทธิ ไว้ที่ 4-5% และอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับ 15% โดยจะควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารงานต่อยอดขายรวม (SG&A) ให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 10% แต่อย่างไรก็ตามบริษัทฯยังคงต้องประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 2/61 ก่อน หลังจากไตรมาส 1/61 บริษัทฯมีอัตรากำไรสุทธิที่ 2.79% และอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 11.31% ด้วยผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน และการปรับราคาสินค้าขึ้นไม่ทันกับราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้บริษัทฯตั้งงบลงทุนในปีนี้ไว้ที่ 4-5 พันล้านบาท โดยเป็นงบลงทุนปกติ เพื่อที่จะใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และซื้อเครื่องจักรใหม่ทดแทนเครื่องจักรเดิม ซึ่งไม่รวมกับงบลงทุนในการเข้าซื้อกิจการ (M&A) โดยบริษัทฯมีการเจรจาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดบริษัทฯได้เข้าซื้อหุ้น 45% ใน บริษัท ทียูเอ็มดี ลักเซมเบิร์ก เอสเออาร์แอล ในประเทศลักเซมเบิร์ก โดยบริษัทฯคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ไม่ต่ำกว่า 15-20%