บมจ.บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ (BAFS) ได้ปรับเป้าหมายรายได้ในปี 61 เป็นเติบโต 4-5% จากเดิมคาดเติบโต 4% หลังจากผลการดำเนินงานในต้นไตรมาส 2/61 เติบโตอย่างก้าวกระโดด เป็นผลจากการที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ปลดธงแดงประเทศไทย ทำให้มีปริมาณเที่ยวบินเพิ่มขึ้นอย่างมาก พร้อมคาดการณ์รายได้จะพุ่งขึ้นไปแตะ 5 พันล้านบาทภายในปี 64 ภายหลังโครงการขยายท่อส่งน้ำมันแล้วเสร็จ
นอกจากนี้ บริษัทจะสรุปแผนลงทุนให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภาภายในปีนี้ หลังจากแผนลงทุนต่าง ๆ ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ออกมาชัดเจน และหากโครงการดำเนินการเสร็จตามแผนประเมินว่าปริมาณการเติมน้ำมันในท่าอากาศยานอู่ตะเภาจะมีปริมาณใกล้เคียงท่าอากาศยานดอนเมืองที่ปีละ 1.1 พันล้านลิตร
พร้อมกันนั้น บริษัทศึกษาลงทุนการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานในท่าอากาศยานกระบี่ ท่าอากาศยานอุดรธานี ท่าอากาศยานน่าน และท่าอากาศยานแพร่ แต่ยังต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของกรมท่าอากาศยานที่เป็นหน่วยงานต้นสังกัด
นายประกอบเกียรติ นินนาท กรรมการผู้จัดการ BAFS เปิดเผยว่า บริษัทฯปรับเป้ารายได้ปีนี้เป็นเติบโต 4-5% จากเดิมที่คาดจะเติบโตได้ 4% หลังจากช่วงต้นไตรมาส 2/61 ปริมาณการเติบการเติมน้ำมันเติบโตก้าวกระโดดกว่า 9% เป็นผลมาจาก ICAO ได้ปลดธงแดงมาตรฐานกรบินของไทย ส่งผลให้สายการบินต่างๆ เพิ่มเที่ยวบิน และเส้นทางการบินใหม่ๆมากขึ้น นอกจากนี้ประเทศไทยยังเป็นจุดหมายอันดับหนึ่งที่นัดท่องเที่ยวเดินทางเข้ามา
ในส่วนของราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องนั้น ไม่ได้เป็นผลกระทบกับผลประกอบการของบริษัทฯอย่างแน่นอน เพราะบริษัทฯเป็นเพียงผู้ให้บริการในการเติมน้ำมันไม่ได้เป็นผู้แบกรับความเสี่ยงของราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นหรือลง
"ในช่วงต้นไตรมาส 2/61 ปริมาณการเติมสูงขึ้นมาก เราเลยมองว่ารายได้คงจะเติบโตกว่าที่เราวางเป้าหมายไว้แต่แรก ซึ่งเป็นการเติบโตตามจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น และนักท่องเที่ยวที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของราคาน้ำมันเราไม่มีผลกระทบแน่นอน ซึ่งเราก็เปรียนเหมือนเป็นเด็กปั้มที่ค่อยเติมน้ำมันให้กับลูกค้า แล้วเราก็ได้รับค่าจ้างตรงนั้น"นายประกอบเกียรติ กล่าว
สำหรับแผนการเข้าไปลงทุนในสนามบินอู่ตะเภานั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างยื่นเสนอตัวต่อกองทัพเรือที่เป็นเจ้าของพื้นที่ เพื่อทำโครงการระเติมน้ำมัน และระบบจัดเก็บน้ำมัน คาดว่าจะเห็นความชัดเจนเกี่ยวกับทุนภายในปีนี้ หลังจากที่โครงระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ชัดเจน ซึ่งสนามบินอู่ตะเภาคือส่วนหนึ่งในโครงการดังกล่าว โดยหากโครงการต่าง ๆ ใน EEC เปิดดำเนินการเต็มที่แล้วเชื่อว่าจะมีปริมาณการเติมน้ำมันใกล้เคียงกับสนามบินดอนเมืองราว 1,100 ล้านลิตรต่อปี และมีผู้ใช้บริการราว 30-40 ล้านคนต่อปี
นอกจากนี้ บริษัทฯยังมองหาการลงทุนเพื่อที่จะเป็นผู้ให้บริการเติมน้ำมันในสนามบินอื่นๆ ในภูมิภาคทั้งสนามบินนานาชาติ และสนามบินขนาดเล็ก โดยอยู่ระหว่างศึกษาในสนามบินกระบี่ สนามบินอุดร สนามบินน่าน และสนามบินแพร่
นายประกอบเกียรติ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทคาดรายได้จะขึ้นไปแตะระดับ 5,000 ล้านบาทภายในปี 64 หลังจากโครงการขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคเหนือ เส้นทางพิจิตร-ลำปาง แล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 4/62 และสามารถรับรู้รายได้เต็มที่ ซึ่งจะทำให้สัดส่วนรายได้เปลี่ยนเป็น รายได้จากการให้บริการเติมน้ำมัน 70% และรายได้จากบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด (FPT) 30% จากปัจจุบันสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 80% และ 20% ตามลำดับ
ทั้งนี้ บริษัทตั้งงบลงทุนรวมไว้ที่ 5,000 ล้านบาท เพื่อที่จะใช้ในการลงทุนต่อเนื่องท่อส่งน้ำมันภาคเหนือระหว่างคลังอ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา-คลังจังหวัดพิจิตร-คลังจังหวัดลำปาง มูลค่า 4,700 ล้านบท และใช้ในการลงทุนธุรกิจออกแบบ ผลิต ประกอบรถเติมน้ำมันอากาศยานและอุปกรณ์ใหบริการภาคพื้นอากาศยาน มูลค่าราว 120 ล้านบาท โดยบริษัทฯร่วมลงทุนกับบริษัท ยูนิเวฟ จำกัด ซึ่งบริษัทฯถือหุ้นในสัดส่วน 90%
ส่วนการลงทุนร่วมกับ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) นั้น บริษัทฯคาดว่าจะเริ่มตั้งสถานีบริการน้ำมันหน้าคลังน้ำมันได้ในช่วงต้นปี 62 โดยจะเบื้องต้นจะมีสถานีบริการน้ำมัน 3 แห่ง คือ บริเวณด้านหน้าคลังน้ำมันพิจิตร คลังน้ำมันนครลำปาง และสถานีสูบถ่ายน้ำมันกำแพงเพชร แต่ส่วนแผนการลงทุนอยู่ระหว่างการหารือร่วมกันกับ PTG ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่