บล.เออีซี (AEC) ระบุว่า ทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์นี้ (21-25พ.ค.) ได้รับปัจจัยบวกจากกรณีสหรัฐฯ-จีน สามารถบรรลุข้อตกลงหยุดเก็บภาษีนำเข้าชั่วคราว และอยู่ระหว่างจัดทำกรอบการค้าร่วมกัน หลังการประชุมร่วมระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้ง 2 ฝ่าย ณ กรุงวอชิงตัน ในช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยเบื้องต้นนายสตีเว่น มนูชิน ระบุว่าทางจีนได้ยอมที่จะนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น (ไม่เปิดเผยตัวเลขที่แน่ชัด) และเดินหน้าแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเพื่อลดข้อจำกัดของบริษัทสหรัฐฯ ที่ลงทุนในจีน ทำให้เรามองว่าประเด็นดังกล่าว เป็น Sentiment เชิงบวกต่อต่อตลาดหุ้นต่างประเทศและทำให้ในช่วงสั้นมีความเสี่ยงจากประเด็นดังกล่าวน้อยลง
ดังนั้น ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัว จากปัจจัยดังกล่าว แต่อย่างไรก็ดีกรอบการขึ้นของดัชนีคาดยังจำกัด เนื่องจากยังขาดปัจจัยใหม่ๆภายในประเทศ ดังนั้นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำจึงยังคงแนะนำให้ "Wait&See" จนกว่า SET จะกลับมายืนเหนือ 1,780 อีกครั้ง
ขณะที่นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง แนะนำให้ "ซื้อเก็งกำไร" ในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะ ได้แก่ หุ้นที่งบไตรมาส 1/61 ออกมาดีและช่วงไตรมาส 2/61 ยังมีโมเมนตัมโตต่อ ได้แก่ กลุ่ม รพ. เช่น BDMS, BCH, RJH กลุ่มค้าปลีก เช่น BJC, MC กลุ่มบันเทิง เช่น RS, MAJOR, JKN กลุ่มอสังหา เช่น AP, SPALI, SC กลุ่มโรงแรม เช่น CENTEL, ERW
รวมทั้ง หุ้นกลุ่มนิคมฯ ที่ได้ประโยชน์จากนโยบาย EEC เช่น WHA, AMATA, ROJNA และ หุ้นที่นำเข้าคำนวณ MSCI Index ซึ่งคาดมีศักยภาพโตดีและราคาหุ้นยังมี Upside Gain น่าสนใจ โดยจะมีผลบังคับใช้ 31 พ.ค. นี้ เช่น LH, THG, DDD, MONO
อย่างไรก็ตาม ดัชนีมีโอกาสรีบาวด์ทางเทคนิค โดยให้แนวต้าน 1,775 จุด และมองกรอบแนวรับที่ 1,745-1,750 จุด ทั้งนี้ เพื่อความไม่ประมาท หากดัชนีวกกลับมาปิดต่ำกว่าแนวรับ ให้ใช้เป็นจุดตัดขาดทุนรอบนี้ สำหรับนักลงทุนระยะกลางยังคงคำแนะนำถือเงินสดต่อ โดยกลุ่มที่คาดว่ายังมีโอกาสปรับตัวบวก ได้แก่ กลุ่มยานยนต์ AUTO เช่น AH, APCS และ กลุ่มพลังงาน ENERG เช่น PTT , PTG