นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ บมจ.แสนสิริ (SIRI) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทและบริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประเทศญี่ปุ่นร่วมกันจัดตั้งบริษัทใหม่ ชื่อ บริษัท สิริ ทีเค ทรู และ บริษัท สิริ ทีเค ทรี โดย SIRI ถือหุ้น 70% และกลุ่มโตคิว ถือหุ้น 30% เพื่อร่วมกันพัฒนาคอนโดมิเนียม 2 โครงการใหม่ทำเลใจกลางกรุงเทพฯ เอกมัย-สุขุมวิท 50 มูลค่ารวมกว่า 5 พันล้านบาท
สำหรับโครงการแรกจะเป็นคอนโดมิเนียมไฮไรส์ สูง 38 ชั้น ทำเลเอกมัย ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ ซึ่งได้ input จากโตคิวในด้านรูปแบบการใช้ชีวิตของคนเมืองของญี่ปุ่น ซึ่งจะเปิดขายในเดือน ส.ค.นี้
ส่วนโครงการที่ 2 อยู่ในทำเลสุขุมวิท 50 เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ ความสูง 8 ชั้น ซึ่งทางโตคิวมีส่วนแชร์โนว์ฮาว โดยจะเปิดขายอย่างเป็นทางการในเดือน ส.ค.เช่นเดียวกัน
นายอุทัย กล่าวว่า ทั้ง 2 โครงการน่าจะได้รับการตอบรับที่ดีทั้งลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยในการเปิดขายโครงการ 1-2 สัปดาห์แรกคาดว่าจะยอดขายไม่ต่ำกว่า 50% ของมลค่าโครงการ หรือน่าจะทำได้ใกล้เคียงกับโครงการร่วมมือโครงการแรก ในชื่อ taka HAUS (ทากะ เฮาส์) ที่มีมูลค่าโครงการประมาณ 2 พันล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมียอดขายถึง 95% แล้ว คาดว่าจะสามารถดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จได้ในช่วงปลายปี 62 และจะเริ่มโอนโครงการได้ทันที
"นอกจากที่เราจะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมเพื่อขายแล้ว เรายังมองการปล่อยเช่าให้กับลูกค้าชาวญี่ปุ่นในโครงการดังกล่าวด้วย ซึ่งเชื่อว่าจากความร่วมมือกับโตคิว ก็น่าจะทำให้นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นเข้ามาใช้บริการมากขึ้น"นายอุทัย กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทเชื่อว่าการเปิดโครงการใหม่ร่วมกับโตคิวจะช่วยเพิ่มสัดส่วนยอดขายของลูกค้าชาวญี่ปุ่นเป็น 10% ในปีนี้ จากปัจจุบันอยู่ที่ 3-5% โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายจากลูกค้าต่างชาติรวม 2.4 หมื่นล้านบาท
ขณะที่บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม ในช่วงที่เหลือของปีนี้อีก 17 มูลค่ารวมประมาณ 3 หมื่นล้านบาท โดยในไตรมาส 2/61 จะเปิดโครงการเพิ่มอีก 9 โครงการ โดยตั้งเป้ายอดขายในไตรมาสนี้ไว้ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งปัจจุบันทำได้แล้วเกือบ 1 หมื่นล้านบาท
บริษัทตั้งงบซื้อที่ดินปี 61 ประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยใช้ไปแล้วประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายโครงการในอนาคต โดยบริษัทประเมินว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศปีนี้จะมีทิศทางเติบโตที่ดี ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศไทย โดยภาคส่งออกและการท่องเที่ยวที่มีการขยายตัวอยางต่อเนื่อง
สำหรับการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปีนี้ ยังคงเป้าหมายยอดขายรวมไว้ที่ 4.5 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 2 หมื่นล้านบาท และรายได้เติบโต 3 หมื่นล้านบาทตามการรับรู้ยอดโอน โดยมียอดขายรอโอน (Backlog) เกือบ 5 หมื่นล้านบาท และมั่นใจว่าจะสามารถเปิดโครงการได้ครบตามเป้าหมายทั้งปีที่ 31 โครงการ มูลค่ารวม 6.32 หมื่นล้านบาท หลังจากเปิดโครงการไปแล้วรวม 14 โครงการ มูลค่ารวม 3 หมื่นล้านบาท
นายอุทัย คาดว่า อัตรากำไรสุทธิปีนี้จะทำได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่อยู่ที่ 8.8% หลังจากผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 1/61 ที่มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 4.1% ไปแล้ว และไม่มีโครงการเหลือขายที่มีมาร์จิ้นต่ำแล้ว อย่างไรก็ตาม บริษัทจะสามารถโอนคอนโดมิเนียมได้ในช่วงที่เหลือของปี โดยตั้งเป้ายอดโอนคอนโดมิเนียมปีนี้ไว้ที่ 1.5 หมื่นบ้านบาท จากไตรมาส 1/61 ทำได้เพียง 1 พันล้านบาท
ด้านนายโทชิยูคิ โฮชิโนะ กรรมการ และเจ้าหน้าที่ผู้จัดการบริหารอาวุโส/ผู้จัดการบริหารทั่วไป สำนักงานใหญ่ธุรกิจต่างประเทศ บริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า โตคิวมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยที่ยังมีความเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรุงเทพฯ ที่อยู่ในช่วงระหว่างการขยายโครงข่ายคมนาคมที่ยังเป็นจุดดึงดูดผู้คนมาสู่จุดศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจนี้ และทำให้เชื่อว่ายังมีความต้องการที่อยู่อาศัยที่อยู่ ทั้งตามแนวรถไฟฟ้าและอยู่ในเขตชุมชนต่างๆ อีกมาก โดยเฉพาะทำเลเอกมัยและสุขุมวิท 50 ซึ่งนับเป็นทำเลที่น่าสนใจและเป็นย่านที่อยู่อาศัยที่ชาวญี่ปุ่นให้ความนิยมเป็นอย่างมาก
"แสนสิริและโตคิวมองเห็นโอกาสและความเป็นไปได้สำหรับแผนความร่วมมือในอนาคตเพื่อพัฒนาโครงการ ที่อยู่อาศัยในรูปแบบใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้งเพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ที่อยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าทั้งคนไทยและต่างชาติ และยังมองถึงแผนความร่วมมือกัน ในการขยายศักยภาพทางธุรกิจในกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่น สำหรับเรา นี่คือความร่วมมือทางธุรกิจระยะยาวที่จะเพิ่มพูนมูลค่าสำหรับทั้งสององค์กรต่อไปอย่างยั่งยืน" นายโฮชิโนะกล่าว
นายโฮชิโนะ กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ร่วมกันในอนาคตกับแสนสิริ มองว่าตามแผนการขยายโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลไทยทำให้บริษัท มีโอกาสที่จะเปิดโครงการในพื้นที่ใกล้เคียงกับสถานีรถไฟฟ้า แต่อย่างไรก็ตามยังต้องศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีพื้นที่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์อีกมาก