นายปรีชา เอกคุณากูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) เปิดเผยว่า บริษัทได้เตรียมแผนการสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องด้วยการตั้งงบลงทุน 1 แลนล้านบาท ภายใน 5 ปีข้างหน้า โดยเป็นการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้าง "The New Landscape" ของวงการรีเทล และเป็นการตอกย้ำการเป็น Global Player ของ CPN โดยมี 5 ศูนย์การค้าไฮไลท์ที่จะทำให้การ Co-Create Center of Life เกิดขึ้น ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์ โฉมใหม่, เซ็นทรัล ภูเก็ต, เซ็นทรัล ไอ-ซิตี้ มาเลเซีย, เซ็นทรัลพลาซา อยุธยา และเซ็นทรัล วิลเลจ
สำหรับแนวคิดการพัฒนาศูนย์การค้าแบบ Co-Create Center of Life จะดำเนินการผ่าน 3 กลยุทธ์ที่เป็นการสร้าง Destination Concepts, Digital Platform และ Partnerships เพื่อทำให้ศูนย์การค้าของ CPN เป็นศูนย์กลางที่ทุกคนมาใช้ชีวิตอย่างแท้จริง โดยมีจิ๊กซอว์สำคัญ คือ พันธมิตร คู่ค้า และพาร์ทเนอร์ ผู้เช่าทั้งหมดของเรา นอกจากนี้ยังรวมไปถึงโครงการมิกซ์ยูสที่สร้างร่วมกับดุสิตธานี ซึ่งแป็นโครงการที่ยิ่งใหญ่ใจกลางเมือง
นายปรีชา กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจของ CPN ที่เติบโตมาอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 20% จากปีก่อน พร้อมทั้งมีแผนการปรับโฉมศูนย์การค้าอื่นๆตอบรับเทรนด์อนาคตด้วย Destination Concept ที่วางไว้ ได้แก่ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว, พระราม 3, เชียงราย และชลบุรี และเซ็นทรัลเฟสติวัล พัทยาบีช ที่จะเกิดขึ้นภายใน 2 ปีนี้ รวมถึงแผนพัฒนาธุรกิจอื่นๆทั้งสำนักงาน โรงแรม และโครงการที่อยู่อาศัย และเสริมสร้างความเป็น Center of Life สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินธุรกิจเชิงกลยุทธ์พัฒนาที่เนินการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
"CPN เป็นผู้นำในการนำคอนเซ็ปต์ใหม่ๆ สู่วงการค้าปลีก ด้วยการบุกเบิกคอนเซ็ปต์ "One-Stop Shopping Center" ครั้งแรกในการเปิดตัว เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว และต่อมากับ Lifestyle Experience ที่เซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อสร้างปรากฏการณ์มาศูนย์การไม่เพียงแค่มาช้อปปิ้ง และใน 2-3 ปีที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จกับศูนย์ฯใหม่ๆตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เองคนในแต่ละย่าน เช่น เซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของครอบครัวสมัยใหม่ และเซ็นทรัลเฟสติวัล อีสต์วิลล์ ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของคนกรุงย่านเอกมัย-รามอินทราที่ทันสมัย"นายปรีชา กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ไนช่วง 5 ปี (ปี 61-65) เติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 13% ต่อปี หลังจากบริษัทปรับรูปแบบของศูนย์การค้าและพื้นที่ภายในศูนย์การค้า ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงอยากรวดเร็วที่ประชาชนที่เข้ามาใช้บริการในศูนย์การค้าไม่แช่เพียงแค่การช้อปปิ้งเพียงอย่างเดียว แต่มาใช้บริการศูนย์การค้าในไลฟ์สไตล์ต่างๆมากขึ้น
ประกอบกับการเข้ามาของยุคดิจิทัล ทำให้การดำเนินธุรกิจศูนย์การค้าต้องมีการปรับตัวโดยประยุกต์การนำเทคโนโลยีมาใช้ รวมไปถึงการพัฒนาโครงการใหม่ๆนั้นจะเป็นการพัฒนาโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูสมากขึ้น ซึ่งมีทั้งศูนย์การค้า โรงแรม อาคารสำนักงาน และที่อยู่อาศัย เพื่อให้โครงการที่บริษัทพัฒนาเป็นมากกว่า Shopping Center และการก้าวเป็น Center of Life ที่สร้างรายได้ให้กับบริษัทอย่างยั่งยืน
บริษัทตั้งเป้าพัฒนาโครงการใหม่ปีละ 2 โครงการ โดยจะเป็นโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูส ประกอบด้วย ศูนย์การค้า และโครงการอื่นๆ เช่น โรงแรม อาคารสำนักงาน และที่อยู่อาศัย โดยจะพิจารณาตามความเหมาะสมของทำเลนั้นๆ ซึ่งขณะนี้บริษัทมีที่ดินเปล่ารอการพัฒนาทั้งหมด 9 แห่ง พื้นที่แห่งละ 30-40 ไร่ขึ้นไป ซึ่งจะทยอยวางโครงการพัฒนาในแผน 5 ปี
บริษัทตั้งเป้าในช่วง 5 ปีจะทยอยเพิ่มพื้นที่เช่าเป็นมากกว่า 2.2 ล้านตารางเมตรภายในปี 65 จากปัจจุบันมีพื้นที่เช่า 1.6 ล้านตารางเมตร โดยจะเพิ่มพื้นที่เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 100,000 ตารางเมตร/ปี ส่วนโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยนั้นตั้งเป้าพัฒนาปีละ 3 โครงการ โดยปัจจุบันมีโครงการที่พัฒนาไปแล้วซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 6 โครงการ
นอกจากนี้ บริษัทยังคงเล็งเห็นถึงการลงทุนขยายการพัฒนาโครงการศูนย์การค้าไปในต่างประเทศ หลังจากลงทุนตั้งศูนย์การค้าเซ็นทรัล ไอ ซิตี้ เมืองชาห์อลัม ประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีกำหนดเปิดให้บริการในเดือน พ.ย.61 ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างส่งทีมเข้าไปศึกษาโอกาสในการลงทุนในเวียดนาม หลังจากที่เซ็นทรัล กรุ๊ป ได้เข้าไปเริ่มลงทุนและมีข้อมูลต่างๆที่บริษัทสามารถนำมาประกอบการพิจารณาในเบื้องต้นได้บ้างแล้ว
นายปรีชา กล่าวว่า ความน่าสนใจของประเทศเวียดนามคือเศรษฐกิจขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และการใช้ชีวิตของประชาชนเวียดนามเริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม โดยเน้นไลฟ์สไตล์มากขึ้น อีกทั้งมีนักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนค่อนข้างมาก ซึ่งปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนทั้งเมืองฮานอยและโฮจิมินห์ คาดว่าจะกำหนดไว้ในแผนการลงทุน 5 ปีนี้ ใช้เงินลงทุนราว 3-6 พันล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีความสนใจเข้าร่วมประมูลพัฒนาพื้นที่สถานีกลางบางซื่อ แปลง A เนื้อที่ 32 ไร่ หลังจากที่คณะกรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มีมติเห็นชอบแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่สถานีกลางบางซื่อ และมีนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของภาครัฐและเตรียมที่จะเสนอกระทรวงคมนาคม คาดว่าจะเปิดประมูลในปีนี้ โดยบริษัทมองว่าพื้นที่ดังกล่าวสามารถพัฒนาเป็นพื้นที่ค้าปลีกและโรงแรมได้ แต่คงต้องรอติดตามร่างเอกสารเงื่อนไขการประกวดราคา (TOR) ให้ออกมาอย่างชัดเจนก่อน
ปัจจุบัน CPN มีโครงการศูนย์การค้าที่พัฒนาแล้วเปิดบริการแล้วรวมทั้งหมด 32 โครงการ อาคารสำนักงานใหมเช่า 7 โครงการ โครงการที่อยู่อาศัยแบรนด์ ESSENT 6 โครงการ และโรงแรม 2 โครงการ
ส่วนการที่ CPN เข้าถือหุ้นใน บมจ.ดุสิตธานี (DTC) เป็นอันดับ 2 ในสัดส่วน 22.93% ถือว่าเป็นการลงทุนในระยะยาวที่ไม่เกี่ยวข้องกับการร่วมทุนพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสบนหัวมุมถนนพระราม 4 มูลค่าลงทุนกว่า 2 หมื่นล้านบาท แต่เพราะบริษัทมองเห็นถึงโอกาสทางธุรกิจและเห็นว่าราคาหุ้นอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยมีผู้ถือหุ้นเดิมต้องการจะขายหุ้นออกมา
นายปรีชา กล่าวว่า CPN เป็นเพียงผู้ลงทุนคนหนึ่งใน DTC ไม่มีอำนาจในการบริหารและควบคุม เพราะถือหุ้นในสัดส่วน 22.93% ซึ่งในอนาคตบริษัทอาจจะมีการพิจารณาขายหุ้น DTC ที่ถืออยู่ออกไปก็เป็นไปได้เช่นเดียวกับนักลงทุนทั่วไป ส่วนโครงการที่พัฒนาร่วมกับ DTC บริษัทมีสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการโรงแรมและที่พักอาศัย 40% โครงการศูนย์การค้า 85% และโครงการอาคารสำนักงาน 100%