นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ใน mai จำนวน 146 บริษัท หรือคิดเป็น 97% จากทั้งหมด 151 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่ส่งงบการเงินไม่ตรงตามกำหนด) นำส่งผลการดำเนินงานไตรมาส 1/61 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.61 พบ บจ.ที่มีกำไรสุทธิจำนวน 107 บริษัท คิดเป็น 73% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด โดยมียอดขายรวม 44,212 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.72% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีต้นทุนรวม 34,503 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.38% ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 23.71% มาอยู่ที่ 21.96% อย่างไรก็ดี บจ. ยังคงมีกำไรสุทธิรวม 1,816 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.45%
"ผลการดำเนินงานของ บจ. mai ในไตรมาส 1 ปีนี้ เติบโตทั้งยอดขายและกำไรสุทธิ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นลดลง เนื่องจากต้นทุนรวมเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจในภาคการผลิตที่ต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น ทั้งในส่วนของต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนค่าขนส่ง นอกจากนี้ ยังพบบาง บจ. ที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น"นายประพันธ์ กล่าว
หากพิจารณายอดขายและกำไรสุทธิรายกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่าทุกกลุ่มมียอดขายเพิ่มขึ้น และมี 5 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นด้วย ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง กลุ่มทรัพยากร กลุ่มบริการ และกลุ่มเทคโนโลยี นอกจากนี้ ยังพบว่ามี 2 ใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมที่สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ได้ คือ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มบริการ
ขณะที่เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/60 พบว่า บจ. มียอดขายเพิ่มขึ้น 4.61% ต้นทุนรวมเพิ่มขึ้น 5.88% ทำให้อัตรากำไรขั้นต้น ลดลง 0.94% ในขณะที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 69.56%
ด้านฐานะทางการเงิน ณ สิ้นไตรมาส 1/61 บจ.ใน mai มีสินทรัพย์รวม 263,781 ล้านบาท เติบโต 2.89% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่โครงสร้างเงินทุนรวมยังอยู่ในเกณฑ์ที่แข็งแรง โดย บจ. ยังคงรักษาระดับอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E Ratio ไว้เท่ากับ ณ สิ้นปี 60 ที่ 1.03 เท่า
ปัจจุบันมี บจ. ใน mai 151 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 22 พ.ค.61) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 473.35 จุด ลดลง 12.40% จากต้นปี มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่ 298,504 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 1,439 ล้านบาทต่อวัน