ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ และแนวโน้ม TICON ที่ "A/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday May 24, 2018 15:11 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ.ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น (TICON) ที่ระดับ "A" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจของบริษัทในฐานะที่เป็นผู้ให้บริการรายใหญ่ที่สุดในธุรกิจโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่า ตลอดจนการมีสถานะทางการเงินที่ยืดหยุ่นจากการขายสินทรัพย์เข้าทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TREIT) อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวลดทอนลงบางส่วนจากธรรมชาติที่ผันผวนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โรงงานอุตสาหกรรม

อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงฐานะของบริษัทในการเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (ได้รับการจัดอันดับเครดิตโดยทริสเรทติ้งที่ระดับ "AA-" ด้วยแนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่") ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ Frasers Centrepoint Ltd. (FCL) ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของตระกูลสิริวัฒนภักดี FCL เป็นหนึ่งในบริษัทที่เป็นผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศสิงคโปร์และยังเป็นบริษัทจดทะเบียนบนกระดานหลักในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (Singapore Exchange) อีกด้วย FCL ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภทซึ่งครอบคลุมตั้งแต่อสังหาริมทรัพย์ประเภทที่พักอาศัย เพื่อการพาณิชย์ เพื่อการค้าปลีก และเพื่อการอุตสาหกรรมในประเทศสิงคโปร์และออสเตรเลีย รวมไปถึงธุรกิจโรงแรมและการให้บริการ (Hospitality Business) ในเมืองต่าง ๆ มากกว่า 80 เมืองทั่วโลก

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต ได้แก่ TICON ยังคงเป็นผู้ให้บริการรายใหญ่ที่สุดในธุรกิจโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่าในประเทศไทยจากรายงานของ CB Richard Ellis’ (CBRE) ฉบับไตรมาสที่ 4 ของปี 2560 ระบุว่าบริษัทและ TREIT ยังคงเป็นผู้ให้บริการรายใหญ่ที่สุดในธุรกิจโรงงานสำเร็จรูป โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดของพื้นที่โรงงานให้เช่าคิดเป็น 48.6% ของพื้นที่ให้เช่ารวม ซึ่งมากกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่อันดับ 2 คือ บมจ.เหมราชพัฒนาที่ดิน และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดคิดเป็น 22.2% อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งทางการตลาดของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สุดทั้ง 2 รายในธุรกิจคลังสินค้าให้เช่านั้นไม่แตกต่างกันมาก บริษัทและ TREIT มีพื้นที่คลังสินค้าคิดเป็น 45.3% ของพื้นที่คลังสินค้าให้เช่ารวม ในขณะที่ บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 42.3%

สินทรัพย์ให้เช่าของบริษัทกระจายตัวอยู่ในพื้นที่ที่หลากหลาย ปัจจุบันสินทรัพย์ที่อยู่ภายใต้การจัดการของบริษัทประกอบด้วยโรงงานให้เช่า 450 หลังและคลังสินค้าให้เช่า 408 หลังซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่ดี เช่น นิคมอุตสาหกรรมที่มีชื่อเสียง ตลอดจนสวนอุตสาหกรรมและเขตอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน เป็นต้น โดยประมาณ 60%ของสินทรัพย์ภายใต้การจัดการของบริษัทตั้งอยู่ในเขตพื้นที่โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)

อัตราการเช่าที่ต่ำคาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นจากการผสานธุรกิจกับ FCL ในปี 2560 พื้นที่ให้เช่าของบริษัท (ก่อนการขายสินทรัพย์เข้าทรัสต์ฯ) เพิ่มขึ้น 91,661 ตารางเมตร (ตร.ม.) โดยประมาณ 82% ของพื้นที่ให้เช่าส่วนเพิ่มนั้นเป็นคลังสินค้า พื้นที่คลังสินค้าให้เช่าของบริษัทเพิ่มขึ้น 74,786 ตร.ม. ในปี 2560 เทียบกับอัตราการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 156,649 ตร.ม. ในช่วงระหว่างปี 2555-2559 เนื่องจากบริษัทเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาคลังสินค้ามาเป็นการสร้างตามความต้องการของลูกค้ามากขึ้น ในขณะที่พื้นที่โรงงานสำเร็จรูปให้เช่าของบริษัทเพิ่มขึ้น 16,875 ตร.ม. ในปี 2560 เมื่อเทียบกับอัตราการเพิ่มโดยเฉลี่ยปีละประมาณ 21,000 ตร.ม. ในปี 2555-2559 เนื่องจากการฟื้นตัวของความต้องการเช่าโรงงานในเขตพื้นที่น้ำท่วมที่ช้ากว่าคาด ทั้งนี้ อัตราการเช่าโดยรวมยังคงเดิมที่ระดับ 61% (เปรียบเทียบกับ 55%-61% ในปี 2557-2559)

เพื่อที่จะเพิ่มอัตราการเช่า บริษัทจะมุ่งพัฒนาคลังสินค้าที่สร้างตามความต้องการของลูกค้าโดยบริษัทคาดว่าจะมีพื้นที่เช่าล่วงหน้าซึ่งเช่าโดยบริษัทในกลุ่มไทย เบฟเวอเรจ ในขณะเดียวกัน อัตราการเช่าโรงงานให้เช่าสำเร็จรูปจะเพิ่มขึ้นด้วยการปรับปรุงสินทรัพย์ของบริษัท (ในรูปแบบต่างๆ อาทิ การปรับขนาดให้เหมาะสม การผสมผสาน การปรับเปลี่ยน และการปรับปรุง)

ภาระหนี้ปรับตัวสูงขึ้นพร้อมโดยมีเงินสดส่วนเกินสำหรับรองรับการชำระหนี้ที่อยู่ในระดับปานกลาง บริษัทมีโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างมากหลังจากที่ได้รับเงินเพิ่มทุนจากบริษัทเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำนวน 13,230 ล้านบาท โดยอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนปรับตัวดีขึ้นจาก 66.9% ในปี 2559 มาอยู่ที่ระดับ 37.3% ในปี 2560 เนื่องจากบริษัทนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนไปใช้ชำระหนี้ ปัจจุบันบริษัทมีเงินสดในมือและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดมูลค่ารวมทั้งสิ้น 8,165 ล้านบาทซึ่งจะใช้สำหรับแผนการลงทุนของบริษัทในระหว่างปี 2561-2563 ทั้งนี้ บริษัทวางแผนงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 1,700-3,000 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผนจะที่จะซื้อที่ดินแปลงใหม่ในปี 2561ด้วย ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นโดยอยู่ที่ระดับประมาณ 40%-45% ในช่วงปี 2561-2563

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะผู้นำในธุรกิจโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่าได้ ต่อไปและคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงรักษาฐานะการเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของบริษัทเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) เอาไว้ได้ อีกทั้งจะสามารถเพิ่มอัตราการให้เช่าได้ตามแผนงานที่วางไว้ ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1,000-1,700 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2561-2563 ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมคาดว่าจะยังคงอยู่ที่ระดับประมาณ 5%-10% ในช่วงปี 2561-2563 ภายใต้สมมติฐานที่บริษัทจะมีการขายสินทรัพย์เข้าTREIT ประมาณ 60,000-100,000 ตร.ม. ต่อปี

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้หากบริษัทสามารถเพิ่มอัตราการให้เช่าและเพิ่มฐานรายได้ค่าเช่าได้อย่างมีนัยสำคัญอย่างต่อเนื่องในขณะที่โครงสร้างเงินทุนยังคงแข็งแรงอยู่ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากบริษัทมีผลการดำเนินงานที่อ่อนแอกว่าคาดอย่างต่อเนื่อง หรือบริษัทมีการลงทุนที่ใช้เงินกู้จำนวนมากซึ่งจะทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทสูงกว่าคาดและส่งผลให้กระแสเงินสดส่วนเกินเพื่อรองรับการชำระหนี้อ่อนแอลง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ