ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ที่ระดับ "A" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางธุรกิจของบริษัทจากการมีรายได้ค่าบริการที่สามารถคาดการณ์ได้จากการให้บริการเดินรถไฟฟ้า ตลอดจนการได้รับเงินปันผลที่สม่ำเสมอจากการถือหุ้น 33.33% ในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางรางบีทีเอสโกรท (BTSGIF) และการมีสถานะที่มั่นคงในธุรกิจสื่อโฆษณา อย่างไรก็ตาม คาดว่าฐานะทางการเงินของบริษัทจะถดถอยลงจากภาระหนี้ที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 4 ปีข้างหน้าอันเนื่องมาจากการลงทุนในโครงการขนส่งมวลชนขนาดใหญ่หลายโครงการ
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต กระแสเงินสดเพิ่มขึ้นจากการขยายโครงข่ายรถไฟฟ้าและจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น รายได้และกระแสเงินสดของบริษัทคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคตจากปัจจัย 2 ประการ ประการแรก รายได้และกระแสเงินสดจากการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าซึ่งดำเนินการโดยบริษัทย่อยคือ บมจ. ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) จะเพิ่มขึ้นหลังจากการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวใต้และส่วนต่อขยายสายสีเขียวเหนือในปี 2561 และปี 2563 ตามลำดับ ซึ่งการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้านั้นสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอและมีอัตรากำไรขั้นต้นในระดับสูง
ประการที่ 2 บริษัทจะได้รับเงินปันผลที่สูงขึ้นจากการถือหุ้น 33.33% ใน BTSGIF ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากเงินปันผลจะเติบโตที่ระดับ 6% ต่อปีในระหว่างปีงบประมาณ 2562-2564 เนื่องจากการขยายโครงข่ายรถไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องจะช่วยเพิ่มปริมาณผู้โดยสารในโครงข่ายหลักซึ่งผ่านบริเวณใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีผู้โดยสารจำนวนมาก ทั้งนี้ จำนวนผู้โดยสารรายวันโดยเฉลี่ยของรถไฟฟ้าบีทีเอสเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 652,156 คนในปีงบประมาณ 2560 จาก 161,059 คนในปีงบประมาณ 2544 ซึ่งคิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยที่ 9% ต่อปี
รายได้เพิ่มขึ้นในธุรกิจสื่อโฆษณา ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้และกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของธุรกิจสื่อโฆษณาซึ่งให้บริการผ่านบริษัทย่อยคือ บมจ.วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย (VGI) จะปรับตัวดีขึ้นอย่างมั่นคง โดยกระแสเงินสดจากธุรกิจสื่อโฆษณามีสัดส่วนเป็นอันดับ 2 ของแหล่งกระแสเงินสดทั้งหมดของบริษัท ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของธุรกิจสื่อโฆษณามีสัดส่วน 40% ของ กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายทั้งหมดของบริษัท
VGI มีความได้เปรียบในการแข่งขันสูงเนื่องจากเป็นผู้ให้บริการสื่อโฆษณาในขบวนรถไฟฟ้าและพื้นที่เชิงพาณิชย์บริเวณสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสเพียงรายเดียว ความได้เปรียบในการแข่งขันส่งผลให้รายได้จากธุรกิจสื่อโฆษณาของบริษัทยังคงเพิ่มขึ้นแม้ว่าอุตสาหกรรมโฆษณาจะชะลอตัวในปี 2559 และปี 2560 ก็ตาม ตัวอย่างเช่นในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 รายได้จากธุรกิจสื่อโฆษณาในระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสเพิ่มขึ้นถึง 25% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่าการใช้จ่ายของอุตสาหกรรมโฆษณาโดยรวมที่ลดลง 6% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ในอนาคต การขยายโครงข่ายรถไฟฟ้าจะช่วยเพิ่มรายได้ของธุรกิจสื่อโฆษณาให้มากขึ้น โดยมีความเป็นไปได้ที่บริษัท วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย จะได้รับสิทธิในการบริหารพื้นที่โฆษณาและพื้นที่เชิงพาณิชย์ในสถานีใหม่ ๆ ของโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียว นอกจากนี้ บริษัทดังกล่าวยังกำลังขยายธุรกิจไปสู่สื่อโฆษณานอกบ้านในรูปแบบอื่น ๆ ผ่านการซื้อกิจการ ซึ่งจะเป็นการช่วยเพิ่มฐานรายได้และยังผสานประโยชน์ทั้งในด้านการจัดจำหน่ายร่วมกันและการรวบรวมข้อมูลของผู้บริโภคอีกด้วย
ภาระหนี้ปรับตัวสูงขึ้นแต่จะค่อย ๆ ปรับลดลงในอนาคต ในช่วง 4 ปีข้างหน้าภาระหนี้ของบริษัทจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากการลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าหลายเส้นทาง ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้สุทธิต่อ กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นที่ประมาณ 4.7 เท่าในปีงบประมาณ 2563 และจะค่อย ๆ ปรับลดลงเป็นระดับ 3.4 เท่าในปีงบประมาณ 2565 ทั้งนี้ ภาระหนี้ของบริษัทยังรวมถึงหุ้นกู้จำนวน 22,000 ล้านบาทที่ออกโดยบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพในปี 2559 เพื่อใช้ในการจัดหาและติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกลรวมถึงการจัดหาขบวนรถไฟฟ้าสำหรับโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวด้วย
บริษัทมีแผนจะกู้ยืมเงินจำนวน 63,360 ล้านบาทสำหรับการลงทุนในในโครงการรถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีชมพูและสายสีเหลือง อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งไม่ได้รวมภาระหนี้ที่ใช้ลงทุนในโครงการดังกล่าวเป็นหนี้ของบริษัท เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการลงทุนงานโยธารวมถึงเงินกู้สำหรับงานโยธาจะได้รับชำระคืนทั้งหมดจากภาครัฐ ทั้งนี้ ภายใต้สัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีชมพูและสายสีเหลืองนั้น ภาครัฐจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดหาพื้นที่และงานโยธา โดยเงินกู้ยืมสำหรับการติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกลยังเป็นลักษณะไม่มีสิทธิไล่เบี้ย (Non-recourse) อีกด้วย
อันดับเครดิตของบริษัทอยู่บนความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าผู้บริหารของบริษัทจะยังคงรักษาวินัยทางการเงิน โดยบริษัทมีนโยบายในการทยอย จำหน่ายเงินลงทุนอื่นเพื่อนำไปใช้ในการชำระหนี้และเพื่อรักษาสัดส่วนเงินกู้ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้
สภาพคล่องอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ บริษัทมีสภาพคล่องที่เพียงพอ โดย ณ เดือนธันวาคม 2560 บริษัทมีเงินสดในมือจำนวน 13,222 ล้านบาทและมีหลักทรัพย์เพื่อค้าและหลักทรัพย์เผื่อขายจำนวน 20,899 ล้านบาท บริษัทยังมีวงเงินสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ อีกประมาณ 29,615 ล้านบาทด้วย บริษัทมีภาระในการชำระหนี้ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าประมาณ 143 ล้านบาทและมีภาระหนี้ระยะสั้นจำนวน 18,888 ล้านบาท โดยบริษัทมีแผนจะทยอยชำระคืนหนี้ระยะสั้นซึ่งส่วนใหญ่เป็นตั๋วแลกเงิน
ในปีงบประมาณ 2562 บริษัทมีเงินลงทุนจำนวน 24,000 ล้านบาท ซึ่งเงินลงทุนส่วนใหญ่มาจากเงินกู้โครงการ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทมีเงินทุนจากการดำเนินงานจำนวน 3,001 ล้านบาท โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวม (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) และอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ระดับ 7.3% และ 4.4 เท่าตามลำดับ
ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงสามารถปฎิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินของหุ้นกู้ในระยะ 12 ถึง 18 เดือนได้ ทั้งนี้ ณ เดือนธันวาคม 2560 บริษัทมีอัตราส่วนภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 0.1 เท่า ซึ่งต่ำกว่าข้อกำหนดทางการเงินของหุ้นกู้ที่ 2.5 เท่า
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังสามารถรักษาการเติบโตทั้งในด้านของรายได้และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้ เงินกู้รวมคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการลงทุนในโครงการขนส่งมวลชนใหม่ ๆ ผ่านบริษัทย่อย อย่างไรก็ตาม กระแสเงินสดจากธุรกิจปัจจุบันคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้สุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้
ภายใต้สมมุติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 11,000 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2564 นอกจากนี้ ในระหว่างปีงบประมาณ 2562-2564 ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะรับรู้รายได้ประมาณ 80,000 ล้านบาทจากงานติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกล ตลอดจนการจัดหาขบวนรถไฟฟ้าและรายได้จากการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีชมพูและสายสีเหลือง อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 30% ส่วนอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทนั้นจะค่อย ๆ ลดลงสู่ระดับ 40% ในปีงบประมาณ 2564 ในขณะที่อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายควรอยู่สูงกว่า 2.5 เท่า
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในช่วง 2 ปีข้างหน้านั้นยังไม่น่าจะเกิดขึ้นเนื่องจากบริษัทมีภาระหนี้เพิ่มสูงขึ้น อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงได้หากอัตราส่วนเงินกู้สุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทปรับสูงขึ้นเกินกว่า 5 เท่า