ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ. ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) ที่ระดับ "A" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทจากการเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการระบบขนส่งมวลชนเพียง 2 รายในประเทศไทย ตลอดจนการมีกระแสเงินสดที่เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอและคาดการณ์ได้จากการให้บริการเดินรถไฟฟ้า และการมีสถานะที่มั่นคงในธุรกิจสื่อโฆษณา อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับสูง
บริษัทเป็นหน่วยธุรกิจหลักและเป็นผู้สร้างรายได้และกำไรที่สำคัญของ บมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ดังนั้น สถานะเครดิตของบริษัท และ BTS จึงมีความเกี่ยวข้องกันอย่างมาก ปัจจุบัน ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตของ BTS ที่ระดับ "A" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่"
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต การขยายโครงการรถไฟฟ้าจะช่วยเพิ่มกระแสเงินสด ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้และกระแสเงินสดของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวใต้และส่วนต่อขยายสายสีเขียวเหนือซึ่งจะเปิดให้บริการในปี 2561 และปี 2563 ตามลำดับ ทั้งนี้ การให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้านอกจากจะสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอแล้วยังมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงอีกด้วย
รายได้เพิ่มขึ้นในธุรกิจสื่อโฆษณา ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้และกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของธุรกิจสื่อโฆษณาของบริษัทซึ่งให้บริการผ่านบริษัทย่อยคือ VGI จะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากไม่นับรวมรายได้จากการให้บริการรับเหมาติดตั้งและก่อสร้างรวมทั้งการจัดหารถไฟฟ้าแล้ว รายได้จากธุรกิจสื่อโฆษณาจะมีสัดส่วนประมาณ 55% เมื่อเทียบกับรายได้จากการให้บริการทั้งหมดของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561
VGI มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่สูงเนื่องจากเป็นผู้ให้บริการสื่อโฆษณาในขบวนรถไฟฟ้าและพื้นที่เชิงพาณิชย์บริเวณสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสแต่เพียงรายเดียว ความได้เปรียบในการแข่งขันส่งผลให้รายได้จากธุรกิจสื่อโฆษณาของบริษัทยังคงเพิ่มขึ้นแม้ว่าอุตสาหกรรมโฆษณาโดยรวมจะชะลอตัวในปี 2559 และปี 2560 ตัวอย่างเช่นในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 รายได้จากธุรกิจสื่อโฆษณาในระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสเพิ่มขึ้น 25% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาซึ่งสูงกว่าการใช้จ่ายของอุตสาหกรรมโฆษณาโดยรวมที่ลดลง 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ในอนาคต การขยายตัวของโครงข่ายรถไฟฟ้าจะช่วยเพิ่มรายได้ของธุรกิจสื่อโฆษณาให้มากขึ้น โดยมีความเป็นไปได้ที่บริษัท วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย จะได้รับสิทธิในการบริหารพื้นที่โฆษณาและพื้นที่เชิงพาณิชย์ในสถานีใหม่ ๆ ของโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียว นอกจากนี้ บริษัทดังกล่าวยังขยายธุรกิจไปสู่สื่อโฆษณานอกบ้านในรูปแบบอื่น ๆ ผ่านการซื้อกิจการซึ่งจะเป็นการช่วยเพิ่มฐานรายได้และยังเป็นการผสานประโยชน์ทั้งในด้านการจัดจำหน่ายร่วมกันและการรวบรวมข้อมูลของผู้บริโภคอีกด้วย
ภาระหนี้ปรับตัวสูงขึ้นแต่จะค่อย ๆ ปรับลดลงในอนาคต เงินกู้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 1,829 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2559 เป็น 24,055 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 เนื่องจากบริษัทได้ออกหุ้นกู้เพื่อใช้เป็นเงินทุนสำหรับการติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกลรวมทั้งการจัดหาขบวนรถไฟฟ้า ซึ่งสัญญาการติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกลนั้นกำหนดให้บริษัทต้องจัดหาเงินลงทุนสำหรับใช้ในโครงการติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกล
หลังจากนั้น บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของกรุงเทพมหานครจะชำระค่าใช้จ่ายการติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกลทั้งหมดรวมถึงภาระดอกเบี้ยสะสมคืนให้แก่บริษัทภายในปีงบประมาณ 2564 ต่อไป โดยที่บริษัทกรุงเทพธนาคมยังสามารถขยายระยะเวลาการชำระค่าใช้จ่ายดังกล่าวออกไปได้อีก 2 ปี
คาดว่าบริษัทจะชำระคืนหนี้ก้อนใหม่โดยใช้เงินที่ได้รับจากบริษัท กรุงเทพธนาคม ซึ่งจะส่งผลทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นที่ระดับประมาณ 5.6 เท่าในปีงบประมาณ 2563 และจะปรับลดลงอยู่ที่ระดับ 2.9 ในปีงบประมาณ 2565 ทริสเรทติ้งเห็นว่าความเสี่ยงทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้นจากภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นจะลดทอนลงจากความแน่นอนในการชำระคืนค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการจากบริษัทกรุงเทพธนาคม
ปัจจุบัน ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตให้แก่กรุงเทพมหานครซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบริษัทกรุงเทพธนาคมที่ระดับ "AA+" ด้วยแนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่"
สถานะสภาพคล่องอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ บริษัทมีสภาพคล่องที่เพียงพอ โดย ณ เดือนธันวาคม 2560 สภาพคล่องของบริษัทประกอบด้วยเงินสดในมือจำนวน 6,716 ล้านบาทและหลักทรัพย์เพื่อค้าและหลักทรัพย์เผื่อขายจำนวน 15,512 ล้านบาท บริษัทยังมีวงเงินสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ อีกประมาณ 17,200 ล้านบาทซึ่งคาดว่าจะมีเพียงพอสำหรับความต้องการใช้เงินทุนในระยะ 12 เดือนข้างหน้า โดยบริษัทมีภาระหนี้เงินกู้ที่จะครบกำหนดชำระจำนวน 143 ล้านบาทและหนี้ระยะสั้นจำนวน 230 ล้านบาท รวมทั้งจะมีรายจ่ายเพื่อการลงทุนอีกจำนวนประมาณ 10,000 ล้านบาท
ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 บริษัทมีเงินทุนจากการดำเนินงาน 1,763 ล้านบาท ในขณะที่มีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวม (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) และอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ระดับ 10.5% และ 4.8 เท่าตามลำดับ
ในข้อกำหนดทางการเงินของหุ้นกู้ระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นไม่เกิน 2.5 เท่า ทั้งนี้ ณ เดือนธันวาคม 2560 บริษัทสามารถปฏิบัติได้ตามข้อกำหนดดังกล่าวโดยดำรงอัตราส่วนภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ -0.2 เท่า ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินของหุ้นกู้ในระยะ 12 ถึง 18 เดือนได้
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงรักษาการเติบโตที่สม่ำเสมอของรายได้จากการให้บริการเดินรถไฟฟ้าและธุรกิจสื่อโฆษณา
ภายใต้สมมุติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 11,000 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2564 นอกจากนี้ ในระหว่างปีงบประมาณ 2562-2564 ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะรับรู้รายได้ประมาณ 20,000 ล้านบาทจากงานให้บริการติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งการจัดหาขบวนรถไฟฟ้า ในขณะที่อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ประมาณ 40% อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจะค่อย ๆ ลดลงสู่ระดับประมาณ 40% ในปีงบประมาณ 2564 และอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายน่าจะอยู่สูงเกินกว่าระดับ 5 เท่า
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทในระยะ 2 ปีข้างหน้ายังมีจำกัดด้วยระดับของภาระหนี้ที่สูง อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญจากที่ได้ประมาณการไว้ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการลงทุนที่ใช้เงินกู้จำนวนมากหรือผลการดำเนินงานที่ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
เนื่องจากบริษัทเป็นบริษัทย่อยที่สำคัญของ BTS อันดับเครดิตของบริษัทจึงสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับอันดับเครดิตของ BTS ดังนั้น หากมีการเปลี่ยนแปลงใดใดในอันดับเครดิตของ BTS ก็จะส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วยเช่นกัน