นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ซึมลง รับผลจากราคาน้ำมันดิ่งลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา 4% หลัก ๆ มาจากซาอุดิอาระเบีย และรัสเซีย เล็งจะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเพื่อชดเชยเวเนซูเอล่า และอิหร่านที่ถูกสหรัฐฯคว่ำบาตร
นอกจากนี้ นักลงทุนคงจะชะลอการลงทุนก่อนที่ตลาดฯจะปิดทำการในวันพรุ่งนี้ (เนื่องในวันวิสาขบูชา) และคืนนี้ทางสหรัฐฯก็จะปิดทำการเนื่องในวันเมมโมเรียล เดย์
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบเล็กน้อย พร้อมให้ติดตามการพบปะระหว่างผู้นำสหรัฐฯกับผู้นำเกาหลีเหนือจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ และให้ติดตามเกี่ยวกับมาตรการกีดกันการค้าจากสหรัฐฯ
พร้อมให้แนวรับ 1,725-1,730 จุด ส่วนแนวต้าน 1,745-1,750 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (25 พ.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,753.09 จุด ลดลง 58.67 จุด (-0.24%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,721.33 จุด ลดลง 6.43 จุด (-0.24%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,433.85 จุด เพิ่มขึ้น 9.42 จุด (+0.13%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 38.16 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 4.49 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 96.14 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 34.19 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 4.20 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 4.14 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 3.95 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (25 พ.ค.61) 1,741.21 จุด เพิ่มขึ้น 8.70 จุด (+0.50%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,661.73 ล้านบาท เมื่อวันที่ 25 พ.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (25 พ.ค.61) ปิดที่ 67.88 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 2.83 ดอลลาร์ หรือ 4% ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.ปีนี้
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (25 พ.ค.61) ที่ 6.56 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.90 แนวโน้มแข็งค่า มองกรอบวันนี้ 31.85-31.95 ตลาดจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯ สัปดาห์นี้
- รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศหารือหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อเตรียมรับมือกรณีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐประกาศเริ่มกระบวนการไต่สวนตามมาตรา 232 ของกฎหมาย Trade Expansion Act ปี 1962 เมื่อวันที่ 23 พ.ค. เพื่อขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ายานยนต์และชิ้นส่วนจากต่างประเทศที่กระทบต่ออุตสาหกรรมภายใน และเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงสหรัฐ โดยหากผลการไต่สวนมีมูลอาจทำให้ประธานาธิบดีสหรัฐตัดสินใจขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ายานยนต์และชิ้นส่วน เช่นเดียวกับที่ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมไปแล้ว
- ปัญหาราคาน้ำมันที่แพงขึ้นในขณะนี้ กระทรวงการคลังประเมินแล้วว่าเป็นปัญหาระยะสั้นไม่กระทบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเพื่อทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศลดลง เพราะจะทำให้ประเทศเสียรายได้ โดยไม่จำเป็น และทำให้ผู้บริโภคใช้น้ำมันอย่างไม่ประหยัด
- ในวันที่ 28 พ.ค.นี้ จะมีการประกาศผลการพิจารณาคุณสมบัติเบื้องต้น (พรีคิว) เพื่อเข้าร่วมการประมูลยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแปลง สำรวจทะเลอ่าวไทย G1/61 คือ แหล่งเอราวัณ และ G2/61 คือ แหล่งบงกชโดยจะมีการประกาศรายชื่อลงในเว็บไซต์ของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ (ชธ.) และจะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในวันเดียวกันด้วย
- ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจจ ม.รังสิต เผยจีดีพีปีที่ 5 คสช. ขยายตัว 4.1-4.7% จับตาครึ่งปีหลังเงินเฟ้อสูง แนะเก็บภาษีเว็บไซต์ต่างชาติแทนขึ้นแวต ด้านคลังปัดขึ้นแวต 10% ช่วง ต.ค.61 ยันเป็นแค่ข่าวลือ
- เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย(สอน.) เผยแนวโน้มราคาอ้อยในฤดูกาลผลิตหน้า รวมถึงทิศทางราคาน้ำตาลทรายในปีหน้าว่ามีแนวโน้มจะดีขึ้น เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าประเทศผู้ผลิต และส่งออกน้ำตาลขนาดใหญ่ เช่น บราซิลจะประสบปัญหาภัยแล้ง มีผลให้น้ำตาลทรายในตลาดโลกลดลง ซึ่งจะส่งผลให้ราคาในตลาดดีขึ้น ในขณะเดียวกันจีนได้ประกาศจะเพิ่มปริมาณน้ำตาลทรายสำรองในประเทศ (บัฟเฟอร์ สต๊อก) อีก 3 ล้านตัน เป็นต้น
*หุ้นเด่นวันนี้
- CPALL (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 98 บาท ธุรกิจ 7-11 ยังแข็งแกร่ง SSSG ใน Q2/61 โตต่อเนื่องแม้เป็นฤดูฝน เพราะกำลังซื้อฟื้นตัวและยังได้อานิสงส์จากการปรับขึ้นราคาบุหรี่ ซึ่งโมเมนตัมนี้จะเร่งขึ้นอีกใน H2/61 ที่มักจัดโปรโมชั่นใหญ่ของปี ด้านราคาหุ้นลงมาใกล้ต้นทุนแปลง Exchangeable Bond ที่ 77 บาท ขณะที่ Sentiment ลบจาก MAKRO กระทบแค่ช่วงสั้น เพราะกำไร MAKRO ชะลอชั่วคราว และการขายหุ้นจะทำแบบค่อยเป็นค่อยไปอยู่แล้ว
- BCH (กรุงศรี) เป้า 19 บาท ซื้อสะสมหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลก่อนเข้าสู่ช่วง High season (หน้าฝนและหนาวในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ) โดยยังเลือก BCH เป็น Top pick ของกลุ่ม จากแนวโน้มผลกำไรที่คาดว่าจะเติบโตมากที่สุดของกลุ่มในปีนี้ เบื้องต้นคาดกำไรสุทธิปีนี้ประมาณ 1,073 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20%yoy มากกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่เพิ่มขึ้นเพียง 16%yoy
- BGRIM (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อสะสม" เป้า 32 บาท ผู้บริหารชี้แจงประเด็นย้ายที่ตั้ง 2 โรงไฟฟ้า น่าจะทำให้ตลาดคลายกังวล แต่มีประเด็นใหม่คือ ภาครัฐมีแนวทางเปลี่ยนการต่อสัญญาโรงไฟฟ้าจากเดิมแบบ SPP Replacement เป็น SPP Extension 10 ปี ที่มีข้อดี ไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก และกำไรช่วงดังกล่าวมีแนวโน้มดีขึ้นกว่าแนวทางเดิม แต่การต่ออายุสัญญาที่สั้นกว่า ทำให้มี Downside 5-10% ต่อราคาเป้าหมาย แต่จะมี Upside จากโครงการร่วมทุน Solar Farm ในเวียดนามมาชดเชย โดยยังคาดกำไรปกติ Q2/61 โต Q-Q, Y-Y และทั้งปีคาดโตสูง 40% Y-Y เป็น 2.4 พันลบ.
- BJC (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "ซื้อ"เป้า 68 บาท คาดว่าทุกกลุ่มธุรกิจของ BJC ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีโดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์และสินค้าอุปโภคบริโภค เนื่องจากยอดขายเพิ่มขึ้นและควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ แม้คาดกำไร Q2/61 ชะลอลงตามผลของฤดูกาล แต่จะเติบโตแข็งแกร่ง YoY ส่วนใน H2/61 อาจได้ประโยชน์จากอัตราภาษีลดลงจากการปรับโครงสร้างภายในบริษัททำให้นำดอกเบี้ยจ่ายจากการซื้อกิจการ BigC มาหักภาษีได้