นายธนพร เตชวิวรรธน์ ผู้จัดการนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายรายได้ปี 61 เติบโต 7-9% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 1.64 แสนล้านบาท เป็นไปตามการเติบโตในทุกธุรกิจ แบ่งเป็นธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้วและกระป๋อง ที่คาดว่าจะเติบโต 7-8% ตามการขยายกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น , ธุรกิจอุปโภคบริโภค คาดจะเติบโต 7-8%
ทั้งนี้ มองแนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้ คาดว่าจะยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยจะมีการออกสินค้าใหม่ ๆ และการจัดแคมเปญเพื่อกระตุ้นยอดขาย, ธุรกิจเวชภัณฑ์และเทคนิค คาดจะเติบโต 10% แม้ไตรมาส 1/61 ยอดขายปรับตัวลดลง 7.3% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/60 เนื่องจากยอดขายยารักษาโรคไตลดลง แต่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/61 เป็นต้นไป จากมีคำสั่งซื้อยาเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และธุรกิจร้านค้าปลีก (BIG C) คาดว่าจะเติบโต 7-8% ตามการขยายสาขาบิ๊กซีที่เพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าหมายอัตราเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ในปีนี้ที่ 3-5% จากไตรมาส 1/61 มีอยู่ระดับ 0.3%
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้วและกระป๋อง (PSC) 14%, ธุรกิจอุปโภคบริโภค (CSC) 12%, ธุรกิจเวชภัณฑ์และเทคนิค (H&TSC) 5% และธุรกิจร้านค้าปลีก (BIG C) 69%
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายขยายสาขาบิ๊กซี แบ่งเป็น บิ๊กซี ซูเปอร์ เซ็นเตอร์ (ไฮเปอร์มาร์เก็ต) จำนวน 8 สาขา, มินิ บิ๊กซี จำนวน 200 สาขา โดยจะมีการปรับปรุงสาขาเดิมอีกจำนวน 13 สาขา จากไตรมาส 1/61 สามารถขยายสาขา บิ๊กซี ซูเปอร์ เซ็นเตอร์ (ไฮเปอร์มาร์เก็ต) แล้วจำนวน 2 สาขา, มินิ บิ๊กซี 24 สาขา และร้านขายยา Pure เพิ่มอีก 1 สาขา ส่วนการปรับปรุงสาขาเดิม มีการปรับปรุงเพื่อขยายพื้นที่เพิ่มเติมจำนวน 2 สาขา ได้แก่ การขยายพื้นที่สาขาจ.นครปฐม จากเดิม 1 หมื่นตารางเมตร เป็น 1.5 หมื่นตารางเมตร และจ.สุโขทัย 2 จากเดิมที่มีพื้นที่ 2.7 ตารางเมตร ขยายเพิ่มเป็น 7 พันตารางเมตร และการปรับปรุงอย่างเต็มรูปแบบในสาขาหาดใหญ่
ส่วนการขยายสาขาในต่างประเทศ บริษัทฯ มีแผนขยายสาขาเข้าไปยัง ตำบลปอยเปด ประเทศกัมพูชา ในรูปแบบสาขาบิ๊กซี ซูเปอร์ เซ็นเตอร์ (ไฮเปอร์มาร์เก็ต) ขนาด 3 พันตารางเมตร เป็นแห่งแรก คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 62 โดยวางงบลงทุนใกล้เคียงกับสาขาที่ประเทศไทย 300 ล้านบาท อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังคงมองโอกาสขยายสาขาบิ๊กซีเพิ่มเติมอีก
นายธนพร กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/61 คาดว่าจะปรับตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/61 เนื่องจากเป็นช่วงของโลว์ซีซั่น ประกอบกับยังได้รับผลกระทบจากต้นทุนราคาน้ำมัน และน้ำตาลที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ยังคาดหวังเทศกาลฟุตบอลโลก ที่จะเริ่มในช่วงกลางเดือนมิ.ย.นี้ จะช่วยสนับสนุนผลประกอบการให้ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วและกระป๋อง รวมถึงธุรกิจค้าปลีก BIG C