นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภุมิภาคเอเชียที่ต่างปรับตัวลงกันทั่วหน้า ภายหลังจากที่อิตาลียังไม่สามารถที่จะเลือกนายกรัฐมนตรีขึ้นมาได้ และมีแนวโน้มที่จะต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ ทำให้คนวิตกถึงความมั่นคงในยูโรโซน ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) อายุ 10 ปี ของอิตาลี พุ่งขึ้น 3% สร้างความกังวลมากให้กับนักลงทุน และเงินยูโรก็อ่อนค่าหนักมากเมื่อเทียบกับเงินดอลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากมีการหลีกเลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงหันไปสู่สินทรัพย์ที่ปลอดภัย ทำให้ Bond Yield อายุ 10 ปี ของสหรัฐฯได้อ่อนลงมาอยู่ที่ 2.8%
นอกจากนี้ราคาน้ำมันก็ปรับตัวลงด้วยทำให้ไปกดดันหุ้นในกลุ่มพลังงานให้ปรับตัวลงตาม ขณะที่นักลงทุนต่างชาติก็คาดว่าจะยังคงขายต่อเนื่องในหุ้นหลัก ๆ พร้อมให้ติดตามวันนี้ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยร่างกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และในวันพรุ่งนี้ (31 พ.ค.) การปรับลดน้ำหนักหุ้นไทยก็มีผลตามที่ทาง MSCI ได้ประกาศไว้
พร้อมให้แนวรับ 1,724 จุด ส่วนแนวต้าน 1,738 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (29 พ.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,361.45 จุด ร่วงลง 391.64 จุด (-1.58%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,689.86 จุด ลดลง 31.47 จุด (-1.16%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,396.59 จุด ลดลง 37.26 จุด (-0.50%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 306.46 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 39.32 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 375.21 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 38.91 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 10.44 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 65.00 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 16.28 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 26.98 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (28 พ.ค.61) 1,734.54 จุด ลดลง 6.67 จุด (-0.38%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,883.59 ล้านบาท เมื่อวันที่ 28 พ.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (29 พ.ค.61) ปิดที่ 66.73 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 1.15 ดอลลาร์ หรือ 1.7%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (29 พ.ค.61) ที่ 6.73 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.09 แนวโน้มอ่อนค่า หลังดอลล์แข็ง มองกรอบวันนี้ 32.00-32.15
- รัฐบาลจะขับเคลื่อนแผนยกระดับครัวไทยสู่ครัวโลกครบวงจรให้เป็นนโยบายแห่งชาติ เนื่องจากอุตสาหกรรมอาหารถือว่ามีความสำคัญที่สุด เพราะเชื่อมโยงเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งมีประชากรอยู่ห่วงโซ่ทั้งหมดในกลุ่มสินค้าเกษตร 20-30 ล้านคน หากอุตสาหกรรมอาหารขยายตัวและมีผลต่อสินค้าเกษตร เพราะอุตสาหกรรมอาหาร 80% ใช้วัตถุดิบการผลิตภายในประเทศ ซึ่ง 85% ใช้วัตถุดิบการเกษตร
- ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจไทย ณ สิ้นเดือน เม.ย. 2561 ว่า มีตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวที่สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ ภาษีจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ในเดือน เม.ย. ขยายตัว 25.2% เพิ่มสูงขึ้นจากค่าเฉลี่ยในไตรมาสแรกที่ 14.8% เนื่องจากมียอดการโอนที่ดินของบุคคลธรรมดาเพิ่มสูงขึ้นกับค่าอากรที่ดินเพิ่มขึ้น
- ผลิต-ไฟฟ้าลาว เล็งออกระดมทุนครั้งใหญ่วงเงิน 5,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 17,500 ล้านบาท เพื่อซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าไซยะบุรีและดอนสะหง อีกทั้งชำระคืนเงินกู้ที่จะครบดีลปี 62 วงเงิน 1,500 ล้านบาท ขณะนี้ได้รับอนุมัติจาก สบน.ไทยแล้ว เตรียมเดินสายโรดโชว์กลางเดือนมิ.ย.นี้ก่อนเสนอขาย คาดได้รับการตอบรับดีจากนักลงทุน เผยมีบริษัทพลังงานจากประเทศทั่วภูมิภาคร่วมลงทุนลุยพลังงาน
- กลุ่มเหล็ก ส.อ.ท. เกาะติดสงครามทางการค้าใกล้ชิดหลัง สหภาพยุโรป และประเทศอื่นๆ พร้อมโต้กลับสหรัฐฯ ผวาสินค้าเหล็กที่ส่งเข้าจีนไม่ได้และที่โดนมาตรการเซฟการ์ดจากอียูกว่า 34 ล้านตัน จะทะลักเข้าไทยซึ่งเป็นผลกระทบทางอ้อม ส่วนผลกระทบทางตรงคาดว่าจะกระทบต่อราคาถั่วเหลือง และข้าวโพดลดต่ำลงได้
- สภาผู้ผลิตสุกรแห่งชาติของสหรัฐร้องเรียน 'ยูเอสทีอาร์' พิจารณาตัดสิทธิจีเอสพีสินค้าไทย อ้างไทยห้ามนำเข้าเนื้อหมูและเครื่องในจากสหรัฐ ทำให้ไม่เข้าข่ายประเทศที่จะได้รับสิทธิ จับตา ต.ค.นี้ รู้ผล ด้านสมาคมสุกรไทย เกาะติดประกาศหากเปิดนำเข้าจะฟ้องศาลเอาผิดทันที
- "สมคิด" ชี้อุตสาหกรรมอาหารสำคัญต่อเศรษฐกิจฐานราก แนะคิดค้นนวัตกรรมเชื่อมโยงการท่องเที่ยว เชื่องานไทยเฟ็กซ์ปี 2561 มีผู้ประกอบการร่วมงาน 2,537 คน คาดเงินสะพัด 1.15 หมื่นล้านบาท
*หุ้นเด่นวันนี้
- BANPU (ไอร่า) "ซื้อ"เป้า 28 บาท แนวโน้มราคาถ่านหินยังอยู่ในระดับสูง ล่าสุดราคาถ่านหิน Newcastle อยู่ที่ 106-107 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน สูงสุดในรอบ 5 ปี จากปริมาณความต้องการใช้ถ่านหินในภูมิภาคที่เติบโตดี ในขณะที่ Supply เติบโตได้อย่างจำกัด โดยส่วนใหญ่เป็นการผลิตเพิ่มขึ้นจากออสเตรเลีย พร้อมคาดกำไรจากการดำเนินงานปกติในปี 61 อยู่ที่ 7,040 ล้านบาท (รวมผลกระทบจากค่าชดเชยกรณีโรงไฟฟ้าหงสาจำนวน 2,714 ล้านบาทแล้ว) โดยผลดำเนินงานปกติเพิ่มขึ้นจากแนวโน้มราคาถ่านหินที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานเหมืองถ่านหินทั้งที่อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย โดยเฉพาะที่ออสเตรเลีย คาดผลการดำเนินงานฟื้นตัวโดดเด่น ส่วนธุรกิจโรงไฟฟ้าเติบโตโดดเด่น จากโรงไฟฟ้าหงสาที่กลับมาเดินเครื่องได้เป็นปกติ
- AMATA (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 30 บาท กลุ่มนิคมมีภาพการเติบโตที่ชัดเจนมากขึ้น หลัง พ.ร.บ. EEC มีผลบังคับใช้ ทำให้ยอดขายที่ดินทั้งปีนี้ของ AMATA น่าจะทะลุเป้าที่ 925 ไร่ได้ไม่ยาก และคาดว่าจะเร่งตัวขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ตามมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติมในด้านโลจิสติกส์ของภาครัฐฯ นอกจากนี้ความเสี่ยงต่ำ โดย PE2561-62 อยู่ที่ 12-14 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลังที่ 16 เท่า และกำไรที่ทำได้ในแต่ละปีมีธุรกิจสาธารณูปโภคช่วยจำกัด Downside อยู่ราว 35% ของกำไรรวม ส่วน NVDR ซื้อสุทธิใน พ.ค. 61 มากถึง 240 ล้านบาท ทำให้ยอด YTD พลิกจากขายเป็นซื้อ 98 ล้านบาท
- EPG (เออีซี) "ซื้อ"เป้า 9.2 บาท ช่วง Q4/60-61 กำไรปกติโต 36.2%QoQ หนุนด้วยยอดขายอะไหล่ยานยนต์ที่ปรับตัวดีขึ้นและเริ่มรวมงบ Flexiglass เต็มไตรมาสครั้งแรกบวกกับยอดขายบรรจุภัณฑ์ที่เริ่มฟื้นตัวส่วนทั้งปี 61-62 คาดกำไรปกติโต 25.9%YoY จากพัฒนาการเชิงบวกของทั้ง 3 ธุรกิจหลักที่สดใสขึ้น และราคาหุ้นยังมี Upside 26.5% และมีเงินปันผลจ่าย 0.15 บาท คิดเป็น Div.Yield 2.1% (XD 6 ส.ค. และจ่ายปันผล 23 ส.ค.)