นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือนมิ.ย.นี้ คาดการณ์ SET Index จะแกว่งตัวในกรอบ 1,680-1,780 จุด โดยมีกรอบแนวรับที่ 1,700 และ 1,680 จุด ส่วนกรอบแนวต้านอยู่ที่ 1,750 และ 1,770 จุด
โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 12-13 มิ.ย. ซึ่งประเด็นสำคัญของการประชุมรอบนี้ไม่ได้อยู่ที่การขึ้นดอกเบี้ย เพราะน่าจะเกิดขึ้นแน่นอนแล้ว แต่จะอยู่ที่ Dot Plot ที่จะสะท้อนมุมมองการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของกรรมการแต่ละราย ซึ่งล่าสุดในการประชุมเดือนมี.ค. มีกรรมการที่เห็นควรให้ขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ทั้งหมด 3 ครั้งและ 4 ครั้งอย่างละเท่า ๆ กัน ด้วยเหตุนี้หากค่ากลางของ Dot plot มีการขยับขึ้นในรอบนี้ มีโอกาสที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ของสหรัฐฯ และเงินดอลลาร์จะปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเป็นสิ่งที่ตลาดยังไม่ได้ Price in มากนัก จนอาจส่งผลกดดันต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์และกระแสเงินทุนต่างชาติ
ความวุ่นวายทางการเมืองในยุโรป เริ่มจากอิตาลีที่ล่าสุดการจัดตั้งรัฐบาลมีทีท่าว่าจะล้มเหลว และอาจนำไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่และความเสี่ยงในการออกจากยูโรโซนที่มากขึ้น นอกจากนั้นเสถียรภาพทางการเมืองของสเปนก็เริ่มสั่นคลอน ภายหลังจากที่ความเชื่อมั่นในตัวของ นายกรัฐมนตรี มาริอาโน ราฮอย เริ่มลดลง ปัจจัยดังกล่าวทำให้ Bond yield และ CDS Spread ของประเทศอิตาลีและสเปนปรับตัวเพิ่มขึ้นทันที สร้างความกังวลว่าประเทศดังกล่าว โดยเฉพาะอิตาลีมีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้มากขึ้น ล่าสุดมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ตัดสินใจปรับลดระดับเครดิตพินิจของอิตาลีลง และระบุว่าพร้อมจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ หากรัฐบาลชุดใหม่ของอิตาลีไม่สามารถดำเนินนโยบายการคลังที่จะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะของประเทศลดลงอย่างยั่งยืนได้
ทิศทางของราคาน้ำมันดิบ และการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ในวันที่ 22 มิ.ย. ซึ่งในกรณีฐาน ทรีนีตี้ประเมินว่าที่ประชุมดังกล่าวจะยังคงยืนหยัดต่อข้อตกลงการลดกำลังการผลิตไปจนถึงสิ้นปีนี้ ซึ่งน่าจะช่วยลดทอนความกังวลของนักลงทุนต่อกระแสข่าวที่ว่าซาอุดิอาระเบียและรัสเซีย เตรียมที่จะเพิ่มกำลังการผลิตในช่วงถัดไป ทั้งหมดนี้ล้วนมีผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ซึ่งเป็นกลุ่มหุ้นใหญ่ที่มีน้ำหนักต่อดัชนีในภาพรวม
การประกาศรายชื่อสมาชิกดัชนี SET50 รอบใหม่ช่วงกลางเดือนมิ.ย. ซึ่งทรีนีตี้ประเมินว่าหุ้นที่มีแนวโน้มถูกนำเข้าสู่ดัชนี SET50 ในรอบถัดไป ได้แก่ KTC, TOA, RATCH, BGRIM, ESSO ทั้งนี้จากการศึกษาตั้งแต่ปี 2551 พบว่า หุ้นที่ถูกนำเข้ามักปรับตัว Outperform SET Index ตั้งแต่ช่วงก่อนหน้าไปจนถึงวันมีผลบังคับใช้จริง ซึ่งรอบนี้ตรงกับวันที่ 2 ก.ค. ในทางตรงกันข้าม คาดการณ์หุ้นที่มีแนวโน้มถูกถอดออกจากดัชนี SET50 ในรอบถัดไปได้แก่ WHA, TPIPP, BCP, PSH, KCE ทั้งนี้พบว่าหุ้นที่ถูกถอดออกมักปรับตัว Underperform SET Index ตั้งแต่ช่วงก่อนหน้าไปจนถึงวันมีผลบังคับใช้จริงเช่นกัน
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในรอบเดือนมิ.ย. แนะนำให้นักลงทุนใช้กลยุทธ์ตั้งรับ โดยหลังจากที่เข้าซื้อหุ้นไปแล้วที่บริเวณดัชนี 1,750 จุด แนะนำให้นักลงทุน Wait & See และรอจังหวะเพิ่มน้ำหนัก หากดัชนีปรับตัวลงมาที่บริเวณกรอบ 1,700 จุดหรือใกล้เคียง
ทั้งนี้ หุ้นที่แนะนำให้ลงทุนประจำเดือนนี้ ได้แก่ PTT และ CK โดยสำหรับหุ้น PTT นั้น ประเมินว่า การตรึงราคาน้ำมันดีเซลจะไม่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของ PTT ในปีนี้ โดยกองทุนน้ำมันยังสามารถที่จะตรึงราคาน้ำมันไว้ได้อย่างน้อย 7-15 เดือน ส่วนการตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในระยะสั้นยังไม่กระทบต่อ PTT เช่นกัน เพราะเงินกองทุนยังสามารถตรึงราคาไว้ได้ราว 2 เดือน แต่อย่างไรก็ตามหาก PTT จำเป็นต้องเข้าไปช่วยตรึงราคาดีเซล และ LPG จะส่งผลกระทบต่อราคาเป้าหมายเพียงแค่ 5 บาทต่อหุ้นเท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าราคาหุ้น PTT ที่ปรับฐานลงมา ด้วยเหตุนี้ ยังคงคำแนะนำซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 64.30 บาท
ส่วน หุ้น CK นั้น มองว่ามีงานในมือในระดับสูงพร้อมจ่อเข้าเป็น Backlog รวมถึงเป้าหมายรายได้ 3 หมื่นล้านบาทในปีนี้น่าจะทำได้ไม่ยาก เนื่องจากงานในมือ ณ สิ้นไตรมาส 1/61 อยู่ที่ 6.5 หมื่นล้านบาท จึงยังคงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 32 บาท