(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ซึมลง รับปัจจัยลบจากตปท.หลังราคาน้ำมันร่วง-วิตกสงครามการค้า

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday June 1, 2018 09:36 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายคณฆัส จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า แนวโน้มการเคลื่อนไหวของดัชนีเช้านี้จะซึมตัวลง มากกว่าเป็นลักษณะการกระแทกลง แม้ว่าจะได้รับปัจจัยลบจากต่างประเทศหลังจากที่สหรัฐฯได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากแคนาดา, เม็กซิโก และ EU ขณะที่ประเทศคู่ค้าเหล่านี้ได้ออกมาตรการตอบโต้สหรัฐทันที ส่งผลให้นักลงทุนมีความกังวลว่าอาจจะเกิดสงครามการค้า นอกจากนี้ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงอาจจะกดดันต่อการลงทุนหุ้นในกลุ่ม Commodity และนักลงทุนยังคงจับตาปัญหาการเมืองในอิตาลีต่อไป

อย่างไรก็ตามตลาดได้ประเด็นบวกจากภายในประเทศ หลังการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น รวมถึงการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เมื่อวานนี้ก็อยู่ในระดับที่ดี ทั้งการส่งออก ,การท่องเที่ยว ,การบริโภค ,การลงทุนของภาครัฐและเอกชน ซึ่งน่าจะยังเป็นปัจจัยที่ช่วยประคองตลาดได้

นอกจากนี้คาดว่าการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติน่าจะกลับมาอยู่ในภาวะปกติ หลังจากที่ขายออกมามากเมื่อวานนี้ เนื่องจากมองว่าการปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติน่าจะลดลงหลัง MSCI rebalance เสร็จสิ้นลงแล้วเมื่อวาน

พร้อมให้แนวรับที่ 1,719 และ 1,714 จุด ส่วนแนวต้านที่ 1,734 และ 1,740 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (31 พ.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,415.84 จุด ร่วงลง 251.94 จุด (-1.02%) , ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,705.27 จุด ลดลง 18.74 จุด (-0.69%) ,ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,442.12 จุด ลดลง 20.34 จุด (-0.27%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 75.57 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 10.72 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 80.22 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 7.72 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 3.38 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 4.68 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 0.69 จุด
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (31 พ.ค.61) 1,726.97 จุด เพิ่มขึ้น 1.83 จุด (+0.11%)
  • นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 7,885.43 ล้านบาท เมื่อวันที่ 31 พ.ค.61
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (31 พ.ค.61) ปิดที่ 67.04 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 1.17 ดอลลาร์ หรือ 1.7%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (31 พ.ค.61) ที่ 5.89 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 32.06/09 แนวโน้มอ่อนค่าตามภูมิภาค ตลาดกลับมากังวลสงครามการค้าระลอกใหม่
  • ธปท.เดินหน้าปฏิรูปเกณฑ์กำกับสถาบันการเงิน เริ่ม 1 มิ.ย.นี้ หนุนธนาคารปรับตัวสู่ดิจิทัลแบงกิ้งเต็มสูบ ลดกระบวนการใช้เอกสาร และปรับเกณฑ์สินเชื่อ เอสเอ็มอี ปูทางสู่ดิจิทัลเลนดิ้ง และ อินฟอร์เมชั่นเบสเลนดิ้ง หวังเพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินในต้นทุนที่ถูกลง พร้อมเปิดให้บริษัทที่มีคุณสมบัติตามกำหนด หรือ Qualified Company ทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศโดยไม่ต้องแสดงเอกสาร ขณะที่ห่วงความเสี่ยงสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน เริ่มเห็นสัญญาณการแข่งขันปล่อยสินเชื่อของแบงก์สูงขึ้น เตือนสถานการเงินบางแห่งให้ระมัดระวังความเสี่ยง
  • ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปยังเศรษฐกิจฐานราก บางส่วนก็ดีขึ้นแล้ว แต่อีกบางส่วนต้องรอราคาพืชผลทางการเกษตร เช่น ราคาทุเรียน หรือราคายางพารา ที่ราคาสูงขึ้นก็ทำให้เศรษฐกิจฐานรากขยายตัวได้ดีขึ้น โดยสศก.ชี้ดัชนีรายได้เกษตรกรเดือน พ.ค.ปรับตัว เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 7.9% คาดเดือนมิ.ย.ยังอยู่ในเกณฑ์ดี
  • หอการค้าคาดอีก 5 ปี เศรษฐกิจกลุ่มซีแอลเอ็มวียังโตต่อเนื่อง 1.2% เผยน่าห่วงอาเซียนสัดส่วนการค้าจะลดลงเรื่อยๆ เหตุจีนเข้ามาแทนที่ในตลาดนี้ มั่นใจสิงคโปร์ยังดึงดูดลงทุนได้ดี ขณะที่อินโดฯอาจเสียฐานผลิตให้เวียดนาม
  • "อาคม" เบรกหัวชนฝารถสาธารณะทุกประเภทห้ามขึ้นค่าโดยสาร รอศึกษาปรับโครงสร้างราคาใหม่เสร็จภายใน 2 เดือน พร้อมมอบนโยบายบอร์ดใหม่ ขสมก.เร่งปรับปรุงคุณภาพ เพิ่มรายได้-ลดรายจ่าย ขยายเส้นทางเดินรถเชื่อมสนามบิน
  • รมว.พลังงาน เล็งลดสำรองน้ำมันดิบจาก 6% เหลือ 2-3% ลดภาระผู้ประกอบการหวังกดราคาขายปลีกลงอีก ระบุปัจจุบันไม่กระทบความมั่นคงด้านพลังงานเร่ง 3 ภารกิจให้เสร็จก่อนเลือกตั้งปี 62 คลอด"โซลาร์ภาคประชาชน" เปิดประมูลเอราวัณ-บงกช ให้ได้ผู้ชนะสิ้นปีนี้ ดันแผนลงทุนไฟฟ้าชีวมวลภาคใต้ 250-300 เมกะวัตต์ให้เสร็จใน 2 เดือน ย้ำค่าไฟฟ้า ในอนาคตมีแนวโน้มถูกลง
  • รัฐบาลและเอกชนจีน-ญี่ปุ่น ประสานเสียงสนับสนุน"อีอีซี"และเศรษฐกิจไทย ชี้มีศักยภาพ เป็นศูนย์กลางการเติบโตในภูมิภาค ทุบสถิติประเทศแรกที่ 2 ยักษ์ใหญ่แห่งเอเชียประกาศร่วมมือทางเศรษฐกิจ ร่วมกันในประเทศที่สาม เผยรัฐบาลปักกิ่งหนุนเต็มที่ รับปากดึงชาวจีนเที่ยวไทยให้มากขึ้นอีก "สมคิด"เชิญจีนร่วมประมูลไฮสปีดเทรนสายใต้กรุงเทพฯ-ชุมพร เชื่อมไปยังมาเลเซีย
  • สศช.แถลงภาวะสังคมไทยไตรมาสแรกปี 2561 ว่า แนวโน้มหนี้ครัวเรือนยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยไตรมาสแรกปีนี้ยอดคงค้างสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลของธนาคารพาณิชย์ขยายตัวเพิ่มขึ้น 7.1% จากที่ขยายตัว 6.1% ไตรมาส 4/60
  • ธปท แถลงเศรษฐกิจไทย ในเดือน เม.ย. 2561 ขยายตัวดีโดยมีแรงขับเคลื่อนจากการส่งออกที่ขยายตัวสูง สอดคล้องกับการขยายตัวของอุปสงค์ ต่างประเทศและราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก เช่นเดียวกับการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวในเกือบทุกหมวดการใช้จ่าย ส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรม ขยายตัวสอดคล้องกัน ด้านการลงทุน ภาคเอกชนขยายตัวจากการลงทุนใน หมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์

*หุ้นเด่นวันนี้

  • BCH (เคจีไอฯ) แนะ"Outperform" ราคาเป้าหมาย 19.20 บาท มีมุมมองที่เป็นบวกกับแนวโน้มผลประกอบการของ BCH ใน 2Q61 เนื่องจากคาดว่าผลการดำเนินงานของ WMH จะฟื้นตัวต่อเนื่อง YoY บวกกับผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของฐานผู้ป่วยเงินสดเนื่องจากปีนี้เข้าสู่หน้าฝนเร็ว คาดว่าปัจจัยสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนกำไรใน 2H61 ได้แก่ i) ผลการดำเนินงานของ WMH ที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง (จนพลิกมาเป็นกำไรสุทธิได้) ii) คาดว่าจะรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจากประกันสังคม iii) คาดว่า margin จะเพิ่มขึ้นจากการอัพเกรดโรงพยาบาลระดับล่างของบริษัท (แบรนด์ การุณเวช)
  • BPP (เอเอสแอล) แนะ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 30 บาท คาดว่ากำไรสุทธิใน 2Q61 จะกลับมาเติบโต QoQ และ YoY จาก High Season ของความต้องการการใช้ไฟฟ้า รวมไปถึงการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่น 3 โครงการ (44.5 MW) ที่จะทยอยเพิ่มเข้ามาใน 2Q61 ทั้งนี้ ประมาณการกำไรสุทธิปี 61 ที่ 4.1 พันล้านบาท แม้ทรงตัว YoY แต่กำไรปกติเติบโต 18% YoY เนื่องจากปี 61 มีค่าใช้จ่ายพิเศษเกี่ยวกับคดีโรงไฟฟ้าหงสา กำไรปกติเติบโตจากการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าหงสาเพิ่ม หลังจากแก้ปัญหาด้านการผลิตได้ และรับรู้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ ขณะที่มองหุ้นเหมาะแก่การลงทุนในช่วงที่ตลาดผันผวนจากหุ้นโรงไฟฟ้าที่ถือว่าเป็น Defensive Stock
  • CK (ดีบีเอสฯ) แนะ"ซื้อ"ให้ราคาเป้าหมาย 30 บาท คาดว่าจะมีโอกาสเข้าร่วมการประมูลงานใหม่ภาครัฐมากขึ้นใน 2H61 ราว 7.8 แสนล้านบาท ณ 31 มี.ค.61 บริษัทมีมูลค่างานในมือ 6.5 แสนล้านบาทซึ่งยังมั่นคงมาก รวมทั้งมีงานก่อสร้างโรงไฟฟ้า CKP ด้วย ขณะเดียวกันมีรายได้เงินปันผลเข้ามาประมาณปีละ 1 พันล้านบาท ซึ่งสามารถรองรับต้นทุนคงที่ได้ ดังนั้นบริษัทจึงไม่ต้องแข่งขันประมูลงานมากนัก ทาง CK ตั้งเป้าหมายอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 8-10% และ IRR เท่ากับ 10-15%

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ