นายประชุม มาลีนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บีอีซี เวิลด์ (BEC) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกับบมจ.เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย (JKN) ในการให้ JKN เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายคอนเทนท์ละครของช่อง 3 ในต่างประเทศ โดยเตรียมส่งละครยอดฮิตถึง 70 เรื่อง ในการนำร่องจัดจำหน่ายในครั้งแรก เช่น สามีตีตรา, ทรายสีเพลิง,รอยฝันตะวันเดือด, ลมซ่อนรัก, สองหัวใจนี้เพื่อเธอ, กำไลมาศ, เพลิงนารี และนาคี เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นละครที่มีความโด่งดังและเป็นกระแสนิยมจนถึงปัจจุบัน เชื่อว่าละครในล็อตแรกจะเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมในต่างประเทศเช่นกัน โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าจะมีรายได้ประมาณหลัก 100 ล้านบาทต่อปี ซึ่ง BEC จะรับรู้รายได้เข้ามาเป็นหลัก และบางส่วนจะเป็นของ JKN
ทั้งนี้ความร่วมมือในครั้งนี้ BEC ได้ให้ JKN เป็นผู้มีสิทธิ์ในการจำหน่ายลิขสิทธิ์ละคร ครอบคลุมทุกประเทศในโลก ซึ่งเป็นตลาดใหม่ที่คอนเทนท์ของช่อง 3 ยังไม่เคยจำหน่าย ยกเว้นประเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีน ฮ่องกง มาเก๊า กัมพูชา เวียดนาม พม่า ซึ่งเป็นตลาดที่ช่อง 3 ได้มีตลาดละคร ออกอากาศอยู่แล้ว โดยความร่วมมือนี้จะเน้นการเปิดตลาดละครใหม่เพิ่มเติม ซึ่งยังมีโอกาสอีกมากมายในหลายประเทศ เนื่องจากเชื่อว่าเม็ดเงินสำหรับคอนเทนต์ดีๆ ยังมีอยู่ในตลาดต่างประเทศอีกมาก
นายประชุม มาลีนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BEC กล่าวว่า การขายลิขสิทธิ์ละครไทยในต่างประเทศ นับเป็นก้าวแรกที่สำคัญ ของความร่วมมือของทั้งสองบริษัทในการสร้างโอกาสทางธุรกิจของคอนเทนท์ละคร โดยช่อง 3 ในฐานะผ้นำตลาดละครคุณภาพของประเทศไทยและ JKN ในฐานะผู้นำธุรกิจการนำคอนเทนท์ต่างประเทศมาสู่เมืองไทย และนำคอนเทนท์คุณภาพของไทยสู่ต่างประเทศ จะ ร่วมกันนำละครชอ่ง 3 เปิดตลาดใหม่ในต่างประเทศ
"สิ่งที่ช่อง 3 เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด คือ การไม่หยุดพัฒนาคอนเทนท์ เพราะคอนเทนท์เป็นสิ่งที่ดึงดูดเม็ดเงินโฆษณาเข้ามา และคอนเทนท์ที่ดียังเป็นสิ่งที่ตลาดทั้งในและต่างประเทศต้องการจึงถือเป็นโอกาสดีที่เกิดความร่วมมือในครั้งนี้ กับ ทาง JKN ในการส่งออกละครไทยไปในต่างประเทศที่ป็นตลาดใหม่ ๆ เพิ่มเติมจากตลาดที่ช่อง 3 ได้ทำการขายอยู่แล้ว และการบรรลุข้อตกลงครั้งนี้ทางเรามีความมั่นใจในประสบการณ์และคอนเนคชั่นของ JKN ในธุรกิจการนำคอนเทนท์ไปจำหน่ายในต่างประเทศ จึงเชื่อว่าจะเป็นการเปิดตลาดละครไทยให้กว้างไกลไปอีกหลายประเทศ เสริมจากประเทศที่ช่อง 3 ได้เปิดตลาดไปก่อนหน้านี้ รวมถึงการส่งออกคอนเทนท์ละครของช่อง 3 ถือเป็นการขยายฐานไปยังผู้ชมต่างประเทศ ซึ่งบางคนก็เป็นแฟนละครไทยอยู่บ้างแล้ว และก็จะได้ผู้ชมกลุ่มใหม่ๆ ทำให้ละครไทยโกอินเตอร์สร้างชื่อเสียงและ สร้างรายได้จากตลาดต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นเม็ดเงินรายได้ก้อนใหม่อีกด้วย" นายประชุม กล่าว
ด้านนายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JKN กล่าวว่า บริษัทฯ เตรียมนำละครยอดฮิตของช่อง 3 ไปเปิดตลาดต่างประเทศ ในประเทศที่นอกเหนือจากที่ช่อง 3 ได้ดำเนินการอยู่แล้ว โดยมองโอกาสขยายเข้าไปในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeaste Asia) เช่น อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, บรูไน, สิงคโปร์ และไต้หวัน เป็นต้น รวมถึงยังมองไปอีกหลายประเทศ อย่างลาตินอเมริกา และตะวันออกกลาง คาดว่าจะเริ่มนำละครดังกล่าวออกสู่ตลาดต่างประเทศได้ในสัปดาห์นี้ และน่าจะทำให้บริษัทฯ สามารถบันทึกรายได้จากการส่งออกคอนเทนต์เข้ามาในไตรมาส 3/61 เป็นต้นไป
"ในปีแรกเราจะนำคอนเทนท์เข้าไปในประเทศที่มีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับไทย และทำการตลาดให้คนหลงรักละครของเรา จากนั้นในปีที่สอง เรามองว่าน่าจะมีดีมานด์เกิดขึ้นแล้ว ฉะนั้นการแข่งขันด้านราคาก็น่าจะตามมา"
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายรายได้ในปีนี้จะเติบโต 20-25% จากปีก่อนที่ทำได้ 1.15 พันล้านบาท เป็นไปตามการเติบโตของธุรกิจทีวีดิจิทัล ที่ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และการส่งออกคอนเทนท์ โดยคาดว่าในปีนี้รายได้จากต่างประเทศจะเติบโต 15% จากปีก่อนที่อยู่ที่ 120 ล้านบาท ขณะเดียวกันบริษัทฯ วางงบลงทุนคอนเทนท์ในปีนี้ไว้ที่ 800 ล้านบาท โดยที่ผ่านมาได้ใช้ไปแล้วจำนวน 300 ล้านบาท ซึ่งที่เหลือจะใช้ซื้อคอนเทนท์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นซีรีย์จากประเทศอินเดีย, สาระคดี, การ์ตูน เป็นต้น
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2/61 JKN คาดว่าน่าจะดีกว่าไตรมาส 1/61 เป็นไปตามการเติบโตของอุตสาหกรรมทีวีดิจิทัล