IRPC คาด GIM ของ Q2/61 ใกล้เคียง Q1 แม้ค่าการกลั่นลดลงแต่สเปรดปิโตรฯดี ,เล็งทำดีล M&A ธุรกิจเกี่ยวเนื่องในปท.ช่วง H2/61

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday June 5, 2018 15:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) เปิดเผยว่า แนวโน้มกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม (GIM) ที่ไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมันในไตรมาส 2/61 จะใกล้เคียงระดับ 14.08 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในไตรมาส 1/61 แม้ว่าค่าการกลั่น (GRM) อาจจะอ่อนตัวลง แต่ส่วนต่าง (สเปรด) ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังอยู่ระดับที่ดี ประกอบกับบริษัทมีการปรับปรุงประสิทธิภาพในหลายด้าน โดยเฉพาะการการขยายกำลังการผลิตโพลีโพรพิลีน (PP) อีก 3 แสนตัน/ปีที่แล้วเสร็จในปีที่แล้ว รวมถึงการดำเนินโครงการ Everest forever ซึ่งเป็นโครงการที่จะดำเนินการต่อจากโครงการ EVEREST เพื่อเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรในทุกด้านที่แล้วเสร็จ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ

ขณะที่ยังคาดว่าในไตรมาส 2/61 จะมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน แม้ว่าราคาน้ำมันดิบจะปรับลดลงมากในช่วงนี้ แต่ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบดูไบ ก็ยังยืนระดับสูงราว 74-75 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากระดับปิดในไตรมาส 1/61 ที่อยู่ระดับ 62.7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

"มาร์จิ้นโรงกลั่นลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่พวกสเปรดปิโตรเคมียังดีอยู่ ดังนั้น GIM ของ IRPC ก็น่าจะใกล้เคียงกับไตรมาสแรก"นายสุกฤตย์ กล่าว

นายสุกฤตย์ กล่าวอีกว่า สำหรับความคืบหน้าในการเจรจาซื้อหรือร่วมลงทุน (M&A) ในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับ 2-3 ราย คาดว่าจะสรุปดีลได้อย่างน้อย 1 รายภายในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งจะเป็นการร่วมลงทุนกับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องในประเทศ เน้นธุรกิจผลิตเม็ดพลาสติก หรือการนำเม็ดพลาสติกไปใช้ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่มองว่ายังมีโอกาสการจะขยายตัวได้อีกมาก หลังความต้องการใช้รถยนต์ยังมีอยู่มาก ขณะที่รถยนต์รุ่นใหม่จะเน้นการประหยัดพลังงาน ทำให้ผู้ประกอบการหันมาลดชิ้นส่วนที่เป็นโลหะโดยใช้ชิ้นส่วนพลาสติกมาทดแทนมากขึ้น ก็จะเป็นโอกาสสำหรับบริษัทซึ่งเป็นผู้ผลิตเม็ดพลาสติก

โดยปัจจุบันบริษัทมีการผลิตเม็ดพลาสติกชนิด UHMWPE (Ultra high molecular weight Polyethylene) ที่มีคุณสมบัติด้านความแข็งแรงเป็นพิเศษ ทนทานต่อการสึกกร่อนเสียดสี รองรับแรงกระแทกได้ดี และน้ำหนักเบา จึงสามารถนำไปผลิตทดแทนโลหะได้ โดยเฉพาะในส่วนของกล่องแบตเตอรี่รถยนต์ ทำให้บริษัทวางแผนจะขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกดังกล่าวเป็น 12,000 ตัน/ปีในอนาคต จากปัจจุบันที่มีการผลิตอยู่ที่ 8 พันตัน/ปี

ส่วนความคืบหน้าการขยายกำลังการผลิตโรงงานโอเลฟินส์เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีกราว 50% ปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกแบบและศึกษาความเป็นไปได้คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 1-2 เดือนก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะเดินหน้าโครงการหรือไม่ อย่างไรก็ตามบริษัทยังเดินหน้าโครงการภายใต้โปรแกรม MARS ซึ่งจะเป็นการลงทุนราว 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสร้างโรงงานอะโรเมติกส์ ขนาด 1.3 ล้านตัน/ปี แบ่งเป็น พาราไซลีน 1 ล้านตัน/ปี และเบนซีน 3 แสนตัน/ปี ซึ่งคาดว่าการออกแบบด้านวิศวกรรมโครงการ (Front End Engineering Design Process :FEED) จะแล้วเสร็จสิ้นปี 61 และหาผู้รับเหมาได้ในกลางปี 62 ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 3 ปีครึ่ง แล้วเสร็จในปี 65

สำหรับเม็ดเงินที่จะใช้ลงทุนในอนาคตนั้น ปัจจุบันมีศักยภาพลงทุนในช่วง 5 ปีได้ราว 1 แสนล้านบาท หรือกว่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะมาจากเงินสดที่จะมาจากการดำเนินงานราว 1 หมื่นล้านบาท/ปี และศักยภาพในการกู้เงินอีกราว 1 หมื่นล้านบาท/ปี เนื่องจากมีหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำที่ระดับ 0.56 เท่าเมื่อสิ้นไตรมาส 1/61 โดยในส่วนนี้ราว 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ใช้ลงทุนในโปรแกรม MARS ส่วนอีก 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในในการทำดีล M&A ส่วนที่เหลืออีก 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ สำรองไว้ลงทุนในอนาคต


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ