โบรกเกอร์ แนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN) หลังมองแนวโน้มผลประกอบการฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/61 จากการรับรู้ต้นทุนราคาสาหร่ายลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังทำสัญญาซื้อวัตถุดิบล่วงหน้า และรับรู้การกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากโรงงานใหม่ที่สวนอุตสาหกรรมโรจนะ รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนได้ดีขึ้น
ขณะเดียวกันยอดขายต่างประเทศยังเติบโตได้ดี โดยเฉพาะการส่งออกไปยังจีนที่มีการเพิ่มผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายมากขึ้น ประกอบกับมีการตั้งทีมงานเข้าไปดูแลการตลาดในจีนโดยเฉพาะด้วย ส่วนยอดขายในประเทศคาดว่ายังเติบโตได้ต่อเนื่องจากการเปิดสาขาเถ้าแก่น้อยแลนด์เพิ่มเติม
พักเที่ยงราคาหุ้น TKN อยู่ที่ 19.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท หรือ 1.06% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย เพิ่มขึ้น 0.27%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ ซื้อ 23.00 ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบีฯ ซื้อ 22.80 ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 21.00 เคทีบี (ประเทศไทย) ซื้อ 20.00 เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ ซื้อ 21.20
นางสาวสุทธาทิพย์ พีรทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) เปิดเผยว่า คาดการณ์แนวโน้มกำไรของ TKN ในอนาคตจะค่อย ๆ ฟื้นตัวดีขึ้น หลังในช่วงปี 60 ถึงไตรมาส 1/61 ที่ผ่านมากำไรค่อนข้างอ่อนตัวและผลประกอบการออกมาไม่ดีนัก เนื่องจากราคาต้นทุนสาหร่ายปรับตัวเพิ่มขึ้น
ขณะที่ TKN จะรับรู้ต้นทุนราคาสาหร่ายลดลงกว่า 10% เมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเริ่มเห็นผลบางส่วนในไตรมาส 2/61 จะทำให้อัตรากำไร (มาร์จิ้น) ของ TKN ฟื้นตัวดีขึ้น โดยผลประกอบการของ TKN น่าจะดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 2/61 เป็นต้นไป และดีขึ้นต่อเนื่องจนถึงช่วงครึ่งหลังของปีนี้
นอกจากนี้ คาดว่ายอดขายต่างประเทศยังเติบโตได้ค่อนข้างดี จากการส่งออกไปยังจีนมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง เนื่องจากการเพิ่มจำนวนผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย (distributor) จากปัจจุบันมีจำนวนทั้งหมด 2 ราย เพื่อทำการตลาดมากขึ้น รวมถึง TKN ยังจัดตั้งทีมงานเข้าไปดูแลการตลาดในจีนเพิ่มด้วย ส่วนยอดขายในประเทศยังเติบโตได้ดี จากการขยายสาขาเถ้าแก่น้อยแลนด์เป็น 20 สาขา
ด้านบทวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่า TKN มีเป้าหมายเพิ่มอัตรากำไรสุทธิปีนี้เป็น 14-15% โดยมาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นและการบริหารต้นทุนได้ดีขึ้นจากโรงงานใหม่ผลิตได้ดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งหลังผ่านช่วงทดสอบแล้วคาดว่าจะทำให้ต้นทุนแรงงานลดลง ประกอบกับความต้องการซื้อยังคงสูงโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ใหม่ อาทิ เวย์โปรตีน, ปลาหมึกขบเคี้ยว ที่เปิดตัวในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในจีน โดย TKN ได้สรุปเทอมและเงื่อนไขกับผู้ที่จะมาเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ในจีนในเบื้องต้นแล้ว คาดว่าจะเริ่มเห็นความคืบหน้าในช่วงไตรมาส 4/61 เป็นต้นไป
ขณะที่ต้นทุนสาหร่ายต่ำลงราว 12-15% จากปีก่อน จากการทำสัญญาซื้อวัตถุดิบล่วงหน้าในราคาลดลง เพื่อใช้ผลิตถึงเดือน ก.ย.-ต.ค.62 ถือว่าเป็นระยะเวลานานกว่าปกติที่มักจะทำสัญญาซื้อถึงเดือน มี.ค.นอกจากนี้ TKN ยังเน้นตลาดในสหรัฐมากขึ้น โดยในปี 67 มีแผนเพิ่มยอดขายตลาดสหรัฐเป็น 2 พันล้านบาท/ปี จากปัจจุบัน 100 ล้านบาท/ปี หลังหาช่องทางจำหน่ายเพิ่ม และเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าในตลาดสหรัฐ
ส่วน บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า TKN มีแนวโน้มกำไรกลับมาเติบโตในไตรมาส 2/61 จากต้นทุนสาหร่ายล็อตใหม่ที่ถูกลง โดยนำเข้ามาตั้งแต่เดือน เม.ย.เป็นต้นไป ประกอบกับจะทยอยรับรู้กำลังการผลิตโรงงานใหม่ทั้ง 2 เฟส และเฟส 3 จะเริ่มรับรู้ในช่วงครึ่งหลังของปี
อีกทั้งจะเริ่มรับรู้สิทธิพิเศษทางภาษีจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จากโรงงานใหม่ ประกอบกับแนวโน้มรายได้จะเติบโตต่อเนื่องจากช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจที่มักอยู่ในช่วงครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ดี ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 61 ไว้ที่ 817 ล้านบาท หรือเติบโต 34% จากปีก่อน