บมจ.ดีโอดี ไบโอเทค (DOD) เคาะราคาขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 110 ล้านหุ้น ที่ราคา 9.30 บาท/หุ้น โดยกำหนดระยะเวลาจองซื้อในวันที่ 12-14 มิถุนายน 2561 เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมีบล.เคที ซีมิโก้ เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นในครั้งนี้ ขณะที่มีมูลค่ารวมของหลักทรัพย์ที่เสนอขายประมาณ 1,023 ล้านบาท โดยคาดหุ้นจะเข้าซื้อขายในวันที่ 20 มิ.ย.นี้
สัดส่วนการเสนอขายหุ้น โดยผู้มีอุปการคุณของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ จำนวนประมาณ 62,045,000 หุ้น คิดเป็น 56.40%, นักลงทุนสถาบัน ประมาณ 22,000,000 หุ้น คิดเป็น 20.00%, ผู้มีอุปการคุณของบริษัทประมาณ 16,500,000 หุ้น คิดเป็น 15.00% และกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท ประมาณ 9,455,000 หุ้น คิดเป็น 8.60%
มูลค่าตามราคาบัญชี (Book Value) ที่ 0.95 บาทต่อหุ้น (คำนวณจากส่วนของผู้ถือหุ้นตามงบการเงิน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2561 ซึ่งเท่ากับ 285.73 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดที่เท่ากับ 300,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท)
สำหรับวัตถุประสงค์การใช้เงิน เพื่อใช้ลงทุนในโรงสกัดวัตถุดิบและห้องปฏิบัติการวิจัยระดับสากล จำนวน 100 ล้านบาท คาดว่าจะใช้เงินในปี 2561-2562, ใช้ในการพัฒนาตราสินค้าใหม่ของบริษัท จำนวน 200 บาท คาดว่าจะใช้เงินในปี 2561-2563, ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน จำนวน 50 ล้านบาท คาดว่าจะใช้เงินในปี 2561 และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน จำนวน 637.24 ล้านบาท คาดว่าจะใช้เงินในปี 2561-2563
DOD เป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Dietary Supplement Product) ที่มีส่วนประกอบหลักมาจากสารสกัดจากธรรมชาติ โดยให้บริการครบวงจร แบบ One Stop Service ตั้งแต่การคิดค้นและพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์เสริมอาหารให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า การขึ้นทะเบียนเลขสารบบอาหาร การออกแบบสินค้าและบรรจุภัณฑ์ การให้คำปรึกษาด้านการตลาดและช่วยหาช่องทางในการจัดจำหน่าย ตลอดจนการผลิตและการควบคุมการผลิตที่ได้คุณภาพตามมาตรฐานสากล โดยผลิตภัณฑ์เสริมอาหารภายใต้ตราสินค้าที่ผลิตจากโรงงานของบริษัททุกผลิตภัณฑ์ได้รับการขึ้นทะเบียนเลขสารบบอาหารจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อย่างถูกต้องครบถ้วน ซึ่ง 1 เลขสารบบอาหาร สำหรับ 1 ตราสินค้าเท่านั้น
นายคมกฤต มีคำสัตย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายตลาดทุน บล.เคที ซีมิโก้ ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย (Lead Underwriter) ของหุ้น DOD เปิดเผยว่า การกำหนดราคา IPO ของหุ้น DOD ที่ระดับ 9.30 บาท/หุ้นนั้น หลังได้สำรวจความต้องการซื้อหุ้น (Book Building) ของนักลงทุนสถาบัน โดยมีการกำหนดช่วงราคาเสนอขายที่ 9.00-9.30 บาทต่อหุ้น พบว่ามีนักลงทุนสถาบันแสดงความสนใจซื้อหุ้นเข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในพื้นฐานธุรกิจ และศักยภาพการเติบโตของ DOD ขณะที่คาดว่าหุ้น DOD จะเข้าทำการซื้อขายวันแรก ในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ภายในวันที่ 20 มิ.ย.นี้
สำหรับผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย (Co-Underwriter) หุ้น DOD ครั้งนี้ ประกอบด้วย บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ,บล.ฟินันเซีย ไซรัส ,บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) และบล.ทิสโก้
ด้านนางสาวศุภมาส อิศรภักดี ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ ของ DOD กล่าวว่า การกำหนดราคา IPO ที่ระดับราคา 9.30 บาท/หุ้น เป็นระดับราคาที่เหมาะสม เมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตจากการขยายธุรกิจของบริษัทในอนาคต โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ ไปใช้เพื่อลงทุนในโรงงานสกัดวัตถุดิบที่มีเทคโนโลยีและเครื่องจักรที่ทันสมัย (โรงที่ 2) เพื่อสกัดสารสกัดซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร รวมถึงการสกัดเพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออก
พร้อมทั้งมีแผนลงทุนในห้องปฏิบัติการวิจัยระดับสากลโดยมีการขอรับรองมาตรฐาน ISO 17025 สามารถตรวจสอบคุณสมบัติเฉพาะของสารสกัดที่ได้จากโรงสกัด รับจ้างตรวจสอบทางเคมีและทางจุลชีววิทยาให้กับหน่วยงานอื่น และเพื่อรักษาความลับทางการค้า รวมถึงเพื่อใช้พัฒนาตราสินค้าใหม่ของบริษัท ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองกลุ่มผู้สูงอายุที่มุ่งเน้นการมีสุขภาพที่ดี และผลิตภัณฑ์สมุนไพรตรีผลาที่มีคุณสมบัติช่วยดูแลสุขภาพ ฟื้นฟูระบบการทำงานของร่างกาย ช่วยในระบบย่อยและขับถ่าย นอกจากนี้ จะนำเงินไปชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/61 จะออกมาดีกว่าไตรมาส 1/61 เนื่องจากบริษัทได้ลงทุนย้ายโรงงานให้มาอยู่ในขนาดพื้นที่ 17 ไร่ จากเดิมที่มีพื้นที่เพียง 1 ไร่ ทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี 60 ที่ผ่านมา ส่งผลให้บริษัทสามารถรับคำสั่งซื้อจากผู้ประกอบการรายใหญ่ๆได้ ซึ่งส่งผลมาตั้งแต่ไตรมาส 1/61 และจะส่งผลอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีนี้
"ไตรมาส 1/61 ที่ผ่านมาเห็นการเติบโตค่อนข้างมากแล้ว ซึ่งในช่วงไตรมาส 2/61 จะยังคงเห็นการเติบโตในทิศทางเดียวกันกับช่วงไตรมาส 1/61 ที่ผ่านมา โดยปัจจุบันเราใช้กำลังการผลิตอยู่ 60% และหากกำลังการผลิตเต็มบริษัทก็ยังจะสามารถเพิ่มกะเวลาทำงานเพิ่มขึ้นด้วย"นางสาวศุภมาส กล่าว