โบรกฯเชียร์ "ซื้อ"MINT มองบวกหลังไม่เพิ่มทุนเข้าซื้อหุ้นเพิ่มใน NH Hotel หนุนขยายฐานลูกค้า-กำไรโดดเด่นปี 62

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday June 11, 2018 15:23 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ แนะนำ"ซื้อ"หุ้นบมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) หลังมองบวกต่อการจะเข้าถือหุ้นเพิ่มใน NH Hotel Group SA ซึ่งทำธุรกิจโรงแรมในประเทศแถบยุโรป โดยมีเป้าหมายที่จะถือหุ้นในสัดส่วน 51-55% จากปัจจุบันที่ถืออยู่ 9.5% ซึ่งจะเป็นการซื้อจากเจ้าของเดิมล็อตแรกรวมเป็น 34.7% ด้วยมูลค่า 619 ล้านยูโร หรือกว่า 2.3 หมื่นล้านบาท ก่อนจะทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์หลังจากนั้น พร้อมเตรียมออกหุ้นกู้ 5 หมื่นล้านบาทเพื่อรองรับการเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้ ซึ่งการลงทุนเพิ่มดังกล่าวนอกเหนือจะมีราคาที่ไม่แพงแล้ว ยังจะช่วยหนุนกำไรให้เพิ่มขึ้นราว 10-14% ในปีหน้า ตลอดจนช่วยขยายฐานลูกค้าของ MINT ในทวีปยุโรปด้วย

การประกาศแผนลงทุนอย่างชัดเจน ทำให้ตลาดคลายความกังวลต่อการเพิ่มทุนเพื่อรองรับการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ ประกอบกับแนวโน้มผลการดำเนินงานที่จะเติบโตได้ในปีนี้จากธุรกิจโรงแรมที่มีความแข็งแกร่ง แม้ว่าธุรกิจอาหารจะยังไม่สดใสนักจากยอดขายสาขาเดิม (SSS) ที่ไม่ได้เติบโต แต่การที่ MINT ควบคุมต้นทุนธุรกิจอาหารได้ดีก็ทำให้กำไรในปีนี้น่าจะยังเติบโต แม้ว่าจะยังไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่จากการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มใน NH Hotel ในปีนี้ก็ตาม

ราคาหุ้น MINT ช่วงบ่ายอยู่ที่ 35.25 บาท ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อน ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้น 0.25%

          โบรกเกอร์                 ราคาเป้าหมาย                คำแนะนำ (บาท/หุ้น)
          ฟินันเซีย ไซรัส                 ซื้อ                          44.00
          ทิสโก้                        ซื้อ                          47.00
          ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบีฯ              ซื้อ                          44.50
          หยวนต้า (ประเทศไทย)          ซื้อ                          50.00
          ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ              ซื้อ                          50.00
          เออีซี                        ซื้อ                          50.00
          ทรีนีตี้                        ซื้อ                          48.00

นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า การเข้าซื้อหุ้น NH Hotel Group ของ MINT ครั้งนี้มีเป้าหมายจะถือเพิ่มเป็น 51-55% จาก 9.5% ในปัจจุบัน จะเป็นระดับที่สามารถควบคุมธุรกิจได้ ซึ่งดีกว่าเดิมที่เป็นเพียงผู้ถือหุ้นส่วนน้อยเท่านั้น ขณะที่ราคาเข้าซื้อหุ้นเพิ่มครั้งนี้นับว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับผลกำไรที่จะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเห็นชัดเจนในปี 62 หลังการทำเทนเดอร์ฯเสร็จสิ้น โดยประเมินว่าหาก MINT ถือหุ้นได้ตามเป้าหมายดังกล่าวจะทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้นเกือบ 1 พันล้านบาท หรือราว 14% จากเป้าหมายกำไรที่ 7 พันล้านบาทในปี 62

ขณะที่ MINT เตรียมออกหุ้นกู้ 5 หมื่นล้านบาทเพื่อรองรับการซื้อหุ้น NH Hotel ครั้งนี้ โดยจะออกเป็นสกุลยูโร ที่มีอัตราดอกเบี้ยไม่สูงราว 1.5-2% ซึ่งอยู่ในระดับต่ำ ทำให้คาดว่ากำไรส่วนเพิ่มจาก NH Hotel จะคลอบคลุมดอกเบี้ยได้ทั้งหมด

"ดีลนี้เรามองว่าเป็นดีลที่ไม่แย่ ราคาซื้อขายไม่แพง ความกังวลเรื่องการเพิ่มทุนก็คลี่คลายไปแล้วว่า MINT จะใช้วิธีการกู้ แล้วถ้าเกิดทำเทนเดอร์ฯได้ไม่เกิน 68% ก็ยังไม่เพิ่มทุน แต่ถ้าเกินกว่า 68% ก็จะออกเป็น perpetual bond มาช่วย bond ปกติ 5 หมื่นล้านบาทเพียงพอต่อการซื้อระดับ 55% เขาคาดว่าน่าจะซื้อได้หลังเทนเดอร์ฯรวมประมาณ 51-55%"นายวีระวัฒน์ กล่าว

เมื่อสัปดาห์ก่อน MINT ประกาศจะเข้าซื้อหุ้น NH Hotel จาก HNA Group ในสัดส่วน 25.2% รวมเป็นเงินลงทุนทั้งหมด 619 ล้านยูโร โดยแบ่งการเข้าซื้อเป็น 2 งวด โดยงวดแรกสัดส่วน 16.8% จะแล้วเสร็จประมาณวันที่ 15 มิ.ย.61 และงวดที่สองเป็นสัดส่วน 8.4% คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน ก.ย.61 ส่งผลให้ MINT ถือหุ้นเพิ่มเป็น 34.7% หลังจากนั้นจะทำเทนเดอร์ฯหุ้น NH Hotel ทั้งหมดซึ่งคาดว่าจะอยู่ในช่วงเดือนต.ค.61 จนถึงปลายปี 61 หรือต้นปี 62 โดยมีเป้าที่จะถือหุ้นในสัดส่วน 51-55% ซึ่งการลงทุนดังกล่าวจะทำให้ MINT มีเครือข่ายโรงแรมมากกว่า 540 แห่ง ครอบคลุมทั้งทวีปเอเชีย โอเชียนเนีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป ซึ่งเป็นภูมิภาคที่สำคัญของธุรกิจโรงแรมในระดับโลก

นายวีระวัฒน์ กล่าวว่า ยังคงคำแนะนำ"ซื้อ"สำหรับ MINT ที่ราคาเป้าหมาย 44 บาท แต่ก็มีโอกาสที่จะปรับเพิ่มขึ้นหลังการเทนเดอร์ฯหุ้น NH Hotel แล้วเสร็จ แต่เบื้องต้นอิงที่การถือหุ้นสัดส่วนราว 55% จะทำให้ราคาหุ้น MINT มี Upside จากราคาเป้าหมายราว 5%

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานของ MINT ในปีนี้มองว่าจะยังไม่ได้รับประโยชน์จากการเข้าลงทุนเพิ่มใน NH Hotel มากนัก เพราะจะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายเข้ามา ทำให้เบื้องต้นยังคงประเมินกำไรของ MINT ในปีนี้เติบโตราว 13% มาที่ 6.1 พันล้านบาท ซึ่งมาจากการเติบโตของธุรกิจโรงแรมที่ดีขึ้นทั้งไทย ที่ขยายตัวตามภาคการท่องเที่ยว ,โปรตุเกส ,บราซิล เป็นต้น ส่วนธุรกิจอาหาร แม้ด้านรายได้จะยังไม่ดีนัก จากยอดขายสาขาเดิมที่ยังติดลบอยู่ทั้งในไทยที่ยอดการบริโภคยังไม่ดี ขณะที่สิงคโปร์ก็มีปัญหาทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามการที่สามารถควบคุมต้นทุนได้ดีทำให้กำไรสุทธิของธุรกิจอาหารยังอยู่ในระดับที่ดีได้

ด้านบล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การขยายกิจการด้วยการเข้าซื้อหุ้น NH Hotel ครั้งนี้นับว่าเป็นแผนที่ดี เนื่องจาก NH Hotel จะเป็นรากฐานในการขยายตัวที่ยุโรปของ MINT รวมกับแบรนด์ Tivoli ที่ MINT ได้เข้าซื้อมาเมื่อหลายปีก่อน โดย NH จะเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าธุรกิจ แต่ Tivoli จะเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าแบบครอบครัว และ MINT จะสนับสนุนธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของ NH Hotel ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินงานดีขึ้น

ทั้งนี้ คาดผลประกอบการปี 62 ของ MINT จะเติบโตในระดับ 2 หลักโดยการเติบโตขึ้นกับสัดส่วนการถือหุ้นและดอกเบี้ยของหุ้นกู้ ซึ่งเชื่อว่า MINT จะกู้เงินในสกุลยูโร เนื่องจากดอกเบี้ยที่ต่ำเพียง 1-1.5% เทียบกับสกุลบาทที่ 3.5-4%

บทวิเคราะห์บล.เออีซี ระบุว่ามีมุมมองบวกต่อดีลการเข้าซื้อ NH Hotel เนื่องจากราคาซื้อค่อนข้างสมเหตุสมผล และเป็นการขยายธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศให้ครอบคลุมระดับโลกมากขึ้น โดยโรงแรมของ NH Hotel มีจุดแข็งด้านทำเลที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองซึ่งหายาก อีกทั้งยังมีปัญหาทำเลทับซ้อนกับพอร์ตโรงแรมที่ MINT มีอยู่เดิมจำกัด จึงคาดว่าจะเก็บเกี่ยวผลดำเนินงานที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดีภายใต้เศรษฐกิจยุโรปและสหรัฐฯที่ฟื้นตัว พร้อมทั้งระยะยาวคาดจะเกิดประโยชน์จาก Synergy ในหลายด้านระหว่าง Minor Hotel และ NH Hotel Group

นอกจากนี้ความเสี่ยงในการเพิ่มทุนยังต่ำ หลัง MINT ตั้งเป้าถือหุ้นใน NH Hotel เพียง 51-55% โดยปี 62 คาด Interest bearing Debt to Equity จะอยู่ที่ 1.12-1.2x อย่างไรก็ดีหากผลการทำคำเสนอซื้อส่งผลให้ MINT ต้องถือหุ้น NHH เกิน 68% จนทำให้ปี 62 เผชิญ Interest bearing Debt to Equity เกิน 1.3x ซึ่งมองเป็นระดับที่เหมาะสม MINT ได้เตรียมทางเลือกอื่น ๆ มากกว่าที่จะใช้การเพิ่มทุน อาทิ ขายหุ้น NH Hotel ที่เทนเดอร์ฯได้มาเกินความต้องการไปให้แก่พันธมิตรทางการเงินรายอื่น ๆ และดีลนี้ยังคงส่งผลบวกต่อกำไรของ MINT ในระยะยาว

ด้านบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ โดยคาดว่า MINT ยังไม่จำเป็นที่จะต้องเพิ่มทุนเพื่อเข้าซื้อ NH Hotel เพราะจากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน ณ สิ้นปี 60 ที่ 1 เท่า จะเพิ่มเป็น 1.5 เท่าในปี 61 ซึ่งยังไม่เกินข้อกำหนด (debt covenant) ที่ระดับ 1.75 เท่า อีกทั้งหากนำ NH Hotel มาทำงบรวม อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะเป็น 1.2 เท่า ในปี 62 เพราะฐานทุนจะยิ่งใหญ่ขึ้น ทั้งนี้ ต้นทุนการออกหุ้นกู้ก็จะต่ำคือไม่มากกว่า 1.5% อีกทั้งจะได้รับกำไรตามส่วนได้เสียจาก NH Hotel ด้วย

สำหรับเป้าหมายการถือหุ้น NH Hotel หลังทำเทนดอร์ฯ คาดว่าจะเป็น 51-55% จะทำให้กำไรปี 62 เพิ่มขึ้นอัตรา 10-13% โดยแนะ"ซื้อ" MINT หากกำหนดให้การถือหุ้นใน NH Hotel ที่สัดส่วน 34.7% คาดว่ากำไรของ MINT จะเพิ่มขึ้นได้อีกในปี 61 ด้านราคาพื้นฐานใหม่ขยับขึ้นเป็น 50.00 บาท จากเดิมที่ 48.00 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี DCF (WACC 8%, terminal growth 2.5%)


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ