นายฤทธี กิจพิพิธ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.สแกน อินเตอร์ (SCN) ผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับก๊าซธรรมชาติแบบครบวงจร เปิดเผยว่า แนวโน้มรายได้ไตรมาส 2/61 คาดว่าจะออกมาดีตามคาด และเติบโตกว่าเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/61 และช่วงเดียวกันของปีก่อน จากธุรกิจก๊าซธรรมชาติอัดสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม (iCNG) และธุรกิจบริการก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ที่เติบโตต่อเนื่อง หลังได้รับผลดีจากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นมาที่ระดับ 65-70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้ความต้องการใช้ก๊าซ NGV เพิ่มขึ้น
สำหรับแผนงานในปีนี้บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้เติบโต 40% จากปีก่อนที่มีรายได้ 2.55 พันล้านบาท โดยธุรกิจ iCNG คาดว่าจะทำรายได้ในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท และคาดว่าธุรกิจรับเหมาติดตั้งและซ่อมบำรุงอุปกรณ์ก๊าซ NGV จะมีรายได้ที่ 475 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีงานรอรับรู้รายได้ (backlog) กว่า 200 ล้านบาท
บริษัทมีแผนเตรียมเปิดสถานีบริการก๊าซ NGV เพิ่มอีก 5 แห่งในช่วงที่เหลือของปี จากปัจจุบันที่เปิดไปแล้ว 8 แห่ง หลังคาดว่าจะมีความต้องการใช้เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะทำยอดขายเฉลี่ย 4 แสนกิโลกรัม/วัน ประกอบกับ บริษัทเตรียมร่วมมือเป็นพันธมิตรอย่าง บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) เพื่อจำหน่ายน้ำมันภายใต้แบรนด์ ‘บางจาก’ และพื้นที่ค้าปลีกอย่างร้านกาแฟอินทนิล และร้าน SPAR เพิ่มเติมอีก 3 สถานี นอกจากนี้ยังมีการทำสัญญาใหม่กับ บมจ.ปตท. (PTT) เพื่อเพิ่มรายได้จากการจำหน่ายก๊าซฯเป็น 3.43 บาท/กิโลกรัม จากเดิม 2 บาท/กิโลกรัม
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายมุ่งสร้างความเข้มแข็งให้แก่ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำและสม่ำเสมอ (Recurring Income) โดยคาดว่ากลุ่มธุรกิจ iCNG และกลุ่มธุรกิจสถานีบริการก๊าซ NGV จะเข้ามาเป็นหัวหอกสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ Recurring Income ของบริษัทเติบโตได้แบบก้าวกระโดดในปีนี้ เนื่องจากทั้ง 2 กลุ่มธุรกิจดังกล่าวจะได้รับปัจจัยเกื้อหนุนจากภาพรวมความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น หลังจากสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกปรับตัวขึ้น
ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ต้นทุนภาคการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่ใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิงมีราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และมองหาพลังงานทางเลือกที่มีความคุ้มค่าอย่างก๊าซธรรมชาติ ที่มีราคาถูกและสะอาดกว่ามาใช้ในภาคการผลิต ทำให้บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้ารายใหม่ๆ ให้แก่ธุรกิจ iCNG ได้เพิ่มขึ้น โดยไตรมาสแรกปีนี้ ธุรกิจ iCNG มีรายได้เติบโตมากกว่า 50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา นอกจากนี้กลุ่มยานยนต์ในภาคขนส่งจะหันมาปรับเปลี่ยนใช้ก๊าซธรรมชาติ NGV เป็นเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเข้ามาช่วยสนับสนุนความต้องการใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ NGV ในภาคอุตสาหกรรมขนส่ง และส่งผลดีต่อกลุ่มธุรกิจสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ NGV สำหรับยานยนต์เช่นกัน
ส่วนกลุ่มธุรกิจพลังงานหมุนเวียนจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่จะรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์จาก 2 โครงการแบบเต็มปีอีกประมาณ 60 ล้านบาท และในปีถัดไปจะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการก่อสร้างและพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 220 เมกะวัตต์ (MW) ที่เมืองมินบู ประเทศเมียนมา ซึ่งบริษัทถือหุ้นสัดส่วน 30% คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จเฟสแรก และจำหน่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบเชิงพาณิชย์ตามสัญญา (SCOD) จำนวน 50 MW ในต้นปี 62 โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในอัตรา 0.1275 เหรียญสหรัฐ/หน่วย ซึ่งสูงกว่าราคารับซื้อไฟฟ้าจากหน่วยงานภาครัฐของไทย ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้กว่า 400 ล้านบาท/ปี จากสัญญา 30 ปี ทำให้มีผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ที่ 10%
"ปีนี้เราจะเห็นการเติบโตของรายได้จากธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำและสม่ำเสมอ โดยมีกลุ่มธุรกิจ iCNG และสถานีก๊าซธรรมชาติ NGV สำหรับยานยนต์เข้ามาช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ผลการดำนินงานโดยรวม ให้สามารถเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 30-40% และปีถัดไปกลุ่มพลังงานหมุนเวียนจะเริ่มเข้ามามีบทบาทอย่างมีนัยสำคัญต่อผลประกอบการที่จะสนับสนุนการเติบโตได้อย่างมั่นคงต่อไป"นายฤทธี กล่าว
นายฤทธี ยังกล่าวถึงการเลื่อนการส่งมอบรถเมล์ NGV ซึ่งเป็นการดำเนินงานภายใต้กลุ่มร่วมทำงานระหว่างบริษัท และบมจ.ช ทวี (CHO) ในสัดส่วนการถือหุ้นฝ่ายละ 50% โครงการมูลค่ารวม 1.8 พันล้านบาท หลังมีการพิพากษาคดีขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ในล็อตที่ส่งมอบไปก่อนหน้านี้ ทำให้บริษัทต้องเลื่อนการบันทึกการส่งมอบรถเมล์ NGV ในไตรมาส 2/61 ออกไป แต่ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับทนายความเพื่อพิจารณายื่นฟ้อง ขสมก. ที่ไม่สามารถรับมอบรถเมล์ NGV ได้ตามแผน แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้เนื่องจากมีผู้เสียหายและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลายราย