นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวว่า บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลเพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ภายในเดือน มิ.ย.นี้ โดยมี บล.เอเชีย พลัส เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
"สัดส่วนการเสนอขาย IPO ยังเป็นไปตามเดิม 25% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด แต่กระบวนการพิจารณาต่าง ๆ จะต้องรอให้เป็นไปตามขั้นตอนของ ก.ล.ต. ซึ่งในด้านของบริษัทยังคาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้น IPO และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ในช่วงไตรมาส 4/61"นายธนากร กล่าว
นายธนากร กล่าวว่า บริษัทเดินหน้าสร้างความเติบโตในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการทยอยเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายรายได้ในปีนี้ที่ 5.1 พันล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 7.5 พันล้านบาท และจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วงที่เหลือของปี 61 และปี 62 โดยโครงการคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จใหม่จะเริ่มโอนในช่วงไตรมาส 3/61
ขณะที่ยอดขายของบริษัทตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันทำได้ 2.8 พันล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งไว้ 8 พันล้านบาท โดยล่าสุดบริษัทได้เปิดโครงการใหม่เป็นโครงการที่ 3 ของปีนี้ คือ ไรส์ พหล-อินทามระ (RISE Phanon-Inthamara) มูลค่า 1.6 พันล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียมสูง 40 ชั้น จำนวน 384 ยูนิต ขนาดห้อง 25-37.5 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้น 2.89 ล้านบาท หรือราคาขายเฉลี่ย 120,000 บาท/ตารางเมตร คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในช่วงเดือน ก.พ. 62 และแล้วเสร็จในเดือน ธ.ค.64 เริ่มเปิดขายพรีเซลในวันที่ 23 มิ.ย. 61 และน่าจะปิดการขายโครงการดังกล่าวได้ภายใน 3 เดือน
บริษัทมั่นใจในด้านทำเลที่ตั้งของโครงการที่มีศักยภาพตั้งอยู่บนทำเลซอยสุทธิสารวินิจฉัย บริเวณปากซอยอินทามระ 4 ซึ่งสามารถทะลุเชื่อมต่อไปยังถนนใหญ่ทั้งพหลโยธิน วิภาวดี และรัชดาภิเษก อีกทั้งยังใกล้รถไฟฟ้า BTS ประกอบกับทำเลดังกล่าวมีจำนวนซัพพลายไม่มาก และราคาที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยของบริษัทถือว่ายังต่ำกว่าราคาเฉลี่ยในพื้นที่ใกล้เคียงที่ 160,000 บาท/ตารางเมตร ปัจจุบันได้มีลูกค้าที่ลงทะเบียนเข้ามาแสดงความสนใจมากถึง 3,000 คน และบริษัทจะแบ่งบางยูนิตจำนวน 40% ไปขายให้กับลูกค้าชาวต่างชาติกลุ่มลูกค้าฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และไต้หวัน
ในช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทยังมีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 5.5 พันล้านบาท ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียม 3 โครงการ และแนวราบ 1 โครงการ ในกรุงเทพฯทำเลใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียวและสีน้ำเงินที่เปิดเดินรถไปแล้ว โดยจะเริ่มทยอยเปิดขายตั้งแต่ปลายไตรมาส 3/61 เป็นต้นไป
"บริษัทมองแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังจะคึกคักมากขึ้น จากการเปิดโครงการของผู้ประกอบการที่จะออกมามาก และภาพรวมของเศรษฐกิจไทยดีขึ้นต่อเนื่อง และการลงทุนต่างๆส่งผลต่อความมั่นใจในการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นจังหวะที่ดีไนการเปิดโครงการใหม่"นายธนากร กล่าว