นายศุภศิษฏ์ โภคินจารุรัศมิ์ บมจ.เมตะ คอร์ปอเรชั่น (META) เปิดเผยว่า บริษัทคาดปีนี้จะกลับมามีกำไรได้อย่างแน่นอน หลังจากขาดทุนสุทธิ 269.74 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา โดยในไตรมาส 1/61 สามารถทำกำไรสุทธิได้แล้ว 24.53 ล้านบาท แต่ยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะค่าเงินบาท เนื่องจากบริษัทรับรู้รายได้จากการก่อสร้างโครงการโซล่าร์ฟาร์ม ในเมียนมา และงานรับเหมาก่อสร้างในฟิลิปปินส์เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หากค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าก็จะทำให้บริษัทรับรู้รายได้ และกำไรเพิ่มขึ้น
สำหรับรายได้ปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ราว 2,300 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ทั้งหมด 9,497 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้เข้ามาเป็นรายได้ราว 1,300 ล้านบาทในปีนี้ ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ไปจนถึงปี 65 นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างเข้าประมูลงานก่อสร้างในประเทศ ซึ่งเป็นงานภาครัฐ มูลค่า 1,700 ล้านบาท คาดจะรู้ผลภายใน 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า โดยบริษัทคาดจะได้งานประมาณ 50% ของมูลค่างานทั้งหมด หรือประมาณ 700-800 ล้านบาท
ส่วนทิศทางผลประกอบการไตรมาส 2/61 บริษัทคาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มค่าเงินบาทอ่อนค่า แต่อย่างไรก็ตามต้องขึ้นอยู่กับสินค้าที่จะส่งมอบถึงหน้างานก่อสร้างอีกด้วย
นายศุภศิษฏ์ กล่าวอีกว่า ส่วนแผนการลงทุนธุรกิจพลังงาน ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาแผนการเข้าลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลในประเทศญี่ปุ่น จำนวน 2 โครงการ กำลังการผลิตรวม 50 เมกะวัตต์ (MW) ปัจจุบันมีความคืบหน้าไปแล้วมากกว่า 90% เบื้องต้นคาดโครงการดังกล่าวจะเริ่มก่อสร้างในเดือนเม.ย. 62 อย่างไรก็ตามบริษัทจะนำเรื่องเสนอต่อคณะกรรมการบริษัท เพื่อพิจารณาอนุมัติในการเข้าลงทุนภายในปีนี้
ทั้งนี้ บริษัทจะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการถือหุ้น 12% ในบริษัท พลังงานเพื่อโลกสีเขียว (ประเทศไทย) จำกัด (GEP) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มมินบู ในเมียนมา หลังโครงการเฟสแรกขนาด 50 เมกะวัตต์ คาดจะแล้วเสร็จและเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) ในช่วงปลายปี 61